หน่วยงานรัฐหลายแห่งของอเมริกาปิดทำการเป็นวันที่ 2 ในวันพุธ (2 ต.ค.) โดยไม่มีเค้าลางว่า ศึกงบประมาณระหว่างทำเนียบขาวกับรัฐสภาจะหาข้อยุติได้ในเร็ววัน
สหรัฐฯ ต้องปิดหน่วยงานรัฐบางส่วนเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีตั้งแต่วันอังคาร (1) หลังจากรัฐสภาไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งด้านงบประมาณได้
สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอนุรักษนิยมสุดขั้วกลุ่มเล็กๆ ในรีพับลิกันฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยฝ่ายหลังผลักดันอย่างหนักเพื่อต่อรองยอมอนุมัติงบประมาณชั่วคราวฉุกเฉินหลังจากที่ปีงบประมาณ 2012/13 สิ้นสุดลงในตอนเที่ยงคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) แลกเปลี่ยนกับการล้มเลิกหรือชะลอการการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของโอบามาที่ผ่านการรับรองตั้งแต่ปี 2010 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ชาวอเมริกันนับล้านที่ไม่มีประกันสุขภาพ
รีพับลิกันคัดค้านกฎหมายดังกล่าวที่เรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” สุดกำลัง โดยวิจารณ์ว่า เป็นการสูญเปล่าและลิดรอนเสรีภาพด้วยการบังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องมีประกันสุขภาพ
วันพุธจึงเป็นวันที่ 2 ที่พนักงานลูกจ้างของรัฐบาลกลางจำนวนราว 800,000 คนต้องหยุดงานโดยไม่ได้เงินตอบแทน ซ้ำร้ายยังไม่มีวี่แววว่ารัฐสภาจะตกลงกันได้ในเร็ววัน เนื่องจากทั้งฝ่ายรีพับลิกันและฝ่ายเดโมแครตกับทำเนียบขาวไม่มีทีท่าว่าต้องการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาทางออก
ศึกครั้งนี้ดูเหมือนเดโมแครตจะมีภาษีดีกว่า โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิพิกพบว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 72% ต่อ 22% คัดค้านการใช้การบีบให้หน่วยงานรัฐบางแห่งต้องปิดทำการเพื่อล้มล้างโอบามาแคร์
นอกจากนั้น ร่างกฎหมาย 3 ฉบับของสภาผู้แทนฯ ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากเสนอเมื่อวันอังคารเพื่อให้หน่วยงานรัฐบางแห่ง ได้แก่ สวนสาธารณะ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และบริการของเทศบาลนครวอชิงตัน เช่น การเก็บขยะ เปิดทำการอีกครั้ง ซึ่งเป็นแผนการที่มุ่งหวังหักหน้าเดโมแครตที่ยืนกรานว่า จะไม่เจรจาหาก “ยังถูกปืนจ่อที่ศีรษะ” ก็ถูกสภาสูงปฏิเสธทั้งสามฉบับรวด
เดโมแครตนั้นยืนกรานว่า ไม่เป็นการยุติธรรมที่จะเลือกให้มีบางหน่วยงานเป็น “ผู้ชนะ” ด้วยวิธีนี้ ขณะที่ลูกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางโดยรวมยังคงถูกพักงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน และทั่วประเทศรวมถึงเศรษฐกิจทั้งระบบได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐ
สหรัฐฯ ต้องปิดหน่วยงานรัฐบางส่วนเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีตั้งแต่วันอังคาร (1) หลังจากรัฐสภาไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งด้านงบประมาณได้
สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอนุรักษนิยมสุดขั้วกลุ่มเล็กๆ ในรีพับลิกันฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยฝ่ายหลังผลักดันอย่างหนักเพื่อต่อรองยอมอนุมัติงบประมาณชั่วคราวฉุกเฉินหลังจากที่ปีงบประมาณ 2012/13 สิ้นสุดลงในตอนเที่ยงคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) แลกเปลี่ยนกับการล้มเลิกหรือชะลอการการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของโอบามาที่ผ่านการรับรองตั้งแต่ปี 2010 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ชาวอเมริกันนับล้านที่ไม่มีประกันสุขภาพ
รีพับลิกันคัดค้านกฎหมายดังกล่าวที่เรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” สุดกำลัง โดยวิจารณ์ว่า เป็นการสูญเปล่าและลิดรอนเสรีภาพด้วยการบังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องมีประกันสุขภาพ
วันพุธจึงเป็นวันที่ 2 ที่พนักงานลูกจ้างของรัฐบาลกลางจำนวนราว 800,000 คนต้องหยุดงานโดยไม่ได้เงินตอบแทน ซ้ำร้ายยังไม่มีวี่แววว่ารัฐสภาจะตกลงกันได้ในเร็ววัน เนื่องจากทั้งฝ่ายรีพับลิกันและฝ่ายเดโมแครตกับทำเนียบขาวไม่มีทีท่าว่าต้องการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาทางออก
ศึกครั้งนี้ดูเหมือนเดโมแครตจะมีภาษีดีกว่า โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิพิกพบว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 72% ต่อ 22% คัดค้านการใช้การบีบให้หน่วยงานรัฐบางแห่งต้องปิดทำการเพื่อล้มล้างโอบามาแคร์
นอกจากนั้น ร่างกฎหมาย 3 ฉบับของสภาผู้แทนฯ ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากเสนอเมื่อวันอังคารเพื่อให้หน่วยงานรัฐบางแห่ง ได้แก่ สวนสาธารณะ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และบริการของเทศบาลนครวอชิงตัน เช่น การเก็บขยะ เปิดทำการอีกครั้ง ซึ่งเป็นแผนการที่มุ่งหวังหักหน้าเดโมแครตที่ยืนกรานว่า จะไม่เจรจาหาก “ยังถูกปืนจ่อที่ศีรษะ” ก็ถูกสภาสูงปฏิเสธทั้งสามฉบับรวด
เดโมแครตนั้นยืนกรานว่า ไม่เป็นการยุติธรรมที่จะเลือกให้มีบางหน่วยงานเป็น “ผู้ชนะ” ด้วยวิธีนี้ ขณะที่ลูกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางโดยรวมยังคงถูกพักงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน และทั่วประเทศรวมถึงเศรษฐกิจทั้งระบบได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐ