นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี ฉบับใหม่ หรือ พีดีพี 2013 โดยให้เพิ่มสำรองไฟฟ้าเป็นร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ จากพีดีพีฉบับปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 15 เท่านั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางระบบไฟฟ้า และยังเป็นการรองรับกรณีที่ไทยมีความจำเป็นต้องซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยตัวอย่างของการเพิ่มสำรองไฟฟ้าจะเห็นจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีสำรองไฟฟ้าถึงร้อยละ 50 เมื่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หยุดผลิตทั้งประเทศ ที่มีสัดส่วนร้อยละ 25 ก็ยังเหลือสำรองใช้ถึงร้อยละ 25 ประชาชนยังมีไฟฟ้าใช้เพียงพอ
นอกจากนี้ ในแผนพีดีพีดังกล่าว จะต้องพิจารณาถึงโครงการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ รวมทั้งพัฒนาเมืองในแต่ละจังหวัด ซึ่งในแต่ละสายของรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 2,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นในแผนระยะยาวจึงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าให้เพียงพอ และต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งต้องใช้เวลาก่อสร้าง 5-6 ปี เช่น โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพีรอบใหม่ที่อยู่ระหว่างการประมูลโรงแรกกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 650 เมกะวัตต์ จะเข้าระบบในปี 2562 ซึ่งอาจจะเข้าระบบไม่ทันกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งให้ดำเนินการ
ทั้งนี้ ในวันนี้ (20 มิ.ย.) กระทรวงพลังงานได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวง โดยนายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีมาร่วมทำงานตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งในวันนี้ได้ขอให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาปรับยุทธศาสตร์รองรับโครงการ 2 ล้านล้านบาท เพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเมืองใหม่ และการโยกย้ายประชากร เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ในแผนพีดีพีดังกล่าว จะต้องพิจารณาถึงโครงการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ รวมทั้งพัฒนาเมืองในแต่ละจังหวัด ซึ่งในแต่ละสายของรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 2,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นในแผนระยะยาวจึงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าให้เพียงพอ และต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งต้องใช้เวลาก่อสร้าง 5-6 ปี เช่น โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพีรอบใหม่ที่อยู่ระหว่างการประมูลโรงแรกกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 650 เมกะวัตต์ จะเข้าระบบในปี 2562 ซึ่งอาจจะเข้าระบบไม่ทันกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น จึงต้องเร่งให้ดำเนินการ
ทั้งนี้ ในวันนี้ (20 มิ.ย.) กระทรวงพลังงานได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวง โดยนายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีมาร่วมทำงานตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งในวันนี้ได้ขอให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาปรับยุทธศาสตร์รองรับโครงการ 2 ล้านล้านบาท เพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเมืองใหม่ และการโยกย้ายประชากร เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ