นายชลิต ดำรงศักดิ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยมีนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าในการจัดทำมาตรฐานบังคับ โดยที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตรแล้ว จำนวน 202 เรื่อง ซึ่งล้วนเป็นมาตรฐานสมัครใจทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันการค้าสินค้าเกษตรได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้เร่งจัดทำมาตรฐานบังคับ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดถั่วลิสงแห้ง ข้าวอินทรีย์ และการปฏิบัติที่ดี (GMP) อีก 7 เรื่อง คือ การรมผลลำไยสดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ โรงเพาะฟักลูกกุ้งทะเลปลอดโรค การขนส่งซากสัตว์ การผลิตสินค้าเกษตรแช่เยือกแข็ง เชื้อเห็ด
ทั้งนี้ หากเกษตรกรไทยเข้าสู่ระบบการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐาน จะเป็นการป้องกันผลผลิตราคาตกต่ำ และไม่ถูกเอาเปรียบทางด้านราคา กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณพัฒนาเกษตรกรให้เข้มแข็งและผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรที่เข้าสู่ระบบฟาร์มมาตรฐานแบบกลุ่มแล้วรวม 70 กลุ่ม ครอบคลุมพืชผัก ไม้ผล ข้าว และพืชสมุนไพรไม่ต่ำกว่า 23 ชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ มะม่วง มังคุด เงาะ กล้วยไข่ ส้มโอ หอมแดง กล้วยไม้ เป็นต้น โดยผลิตตามมาตรฐาน GAP เป็นหลัก และบางส่วนผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะขยายผลการรับรองฟาร์มมาตรฐานแบบกลุ่มให้เพิ่มขึ้นในปีต่อไป เพื่อสร้างความเข้มแข้งให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับการดำเนินงานด้านมาตรฐานสินค้า เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป
ทั้งนี้ หากเกษตรกรไทยเข้าสู่ระบบการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐาน จะเป็นการป้องกันผลผลิตราคาตกต่ำ และไม่ถูกเอาเปรียบทางด้านราคา กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณพัฒนาเกษตรกรให้เข้มแข็งและผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรที่เข้าสู่ระบบฟาร์มมาตรฐานแบบกลุ่มแล้วรวม 70 กลุ่ม ครอบคลุมพืชผัก ไม้ผล ข้าว และพืชสมุนไพรไม่ต่ำกว่า 23 ชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ มะม่วง มังคุด เงาะ กล้วยไข่ ส้มโอ หอมแดง กล้วยไม้ เป็นต้น โดยผลิตตามมาตรฐาน GAP เป็นหลัก และบางส่วนผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะขยายผลการรับรองฟาร์มมาตรฐานแบบกลุ่มให้เพิ่มขึ้นในปีต่อไป เพื่อสร้างความเข้มแข้งให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับการดำเนินงานด้านมาตรฐานสินค้า เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป
