ศาลอาญานัดไกล่เกลี่ยคู่ความคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่เป็นจำเลยในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ว่านายอภิสิทธิ์ สั่งฆ่าประชนในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553
โดยนายอภิสิทธิ์ และนายจตุพร ได้เดินทางมาไกล่เกลี่ยด้วยตนเองทั้งคู่
นายจตุพร เปิดเผยก่อนขึ้นศาลเพื่อไกล่เกลี่ยว่า มีคดีความกับนายอภิสิทธิ์ 4 คดี ซตัดสินมาแล้ว 3 คดี และคดีนี้ถือเป็นคดีสุดท้าย ศาลจึงได้ขอให้ทนายทั้ง 2 ฝ่าย หาจุดยืนเพื่อให้มีทางออกของคดีด้วยการไกล่เกลี่ย เพราะเห็นว่าทั้ง 2 คนเป็นนักการเมือง สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกันได้
ทั้งนี้ หากไกล่เกลี่ยไม่ลงตัวตนก็พร้อมให้นำสืบพยานในฐานะจำเลย ซึ่งตนจะเป็นพยานของตนเองเพียงปากเดียว โดยเงื่อนไขที่ศาลขอให้ประนีประนอมคือแถลงต่อสาธารณชนเหมือนกับการถอนคำพูดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เปิดเผยหลังเข้าร่วมไกล่เกลี่ยกับนายจตุพร ว่าจะไม่ขอไกล่เกลี่ย หรือยอมความ เนื่องจากไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่านายจตุพรพูดความจริง ข้อกล่าวหาที่เป็นมูลเหตุเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ทำให้ตนเสียหาย ศาลจึงมีต้องนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยต่อไป
โดยนายอภิสิทธิ์ และนายจตุพร ได้เดินทางมาไกล่เกลี่ยด้วยตนเองทั้งคู่
นายจตุพร เปิดเผยก่อนขึ้นศาลเพื่อไกล่เกลี่ยว่า มีคดีความกับนายอภิสิทธิ์ 4 คดี ซตัดสินมาแล้ว 3 คดี และคดีนี้ถือเป็นคดีสุดท้าย ศาลจึงได้ขอให้ทนายทั้ง 2 ฝ่าย หาจุดยืนเพื่อให้มีทางออกของคดีด้วยการไกล่เกลี่ย เพราะเห็นว่าทั้ง 2 คนเป็นนักการเมือง สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกันได้
ทั้งนี้ หากไกล่เกลี่ยไม่ลงตัวตนก็พร้อมให้นำสืบพยานในฐานะจำเลย ซึ่งตนจะเป็นพยานของตนเองเพียงปากเดียว โดยเงื่อนไขที่ศาลขอให้ประนีประนอมคือแถลงต่อสาธารณชนเหมือนกับการถอนคำพูดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เปิดเผยหลังเข้าร่วมไกล่เกลี่ยกับนายจตุพร ว่าจะไม่ขอไกล่เกลี่ย หรือยอมความ เนื่องจากไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่านายจตุพรพูดความจริง ข้อกล่าวหาที่เป็นมูลเหตุเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ทำให้ตนเสียหาย ศาลจึงมีต้องนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยต่อไป
