นายจักรกฤษณ์ กาญจนศูนย์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า การเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซียของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในส่วนของผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศ ได้มีการหารือกันในระดับนโยบายเสมอ ว่าควรมีการเดินทางเยือนระหว่างกันให้บ่อยครั้ง เพราะในการเดินทางมาในแต่ละครั้งผลลัพธ์จะได้หรือไม่ได้อะไร แต่จะมีผลเชิงบวกต่อสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นจะส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของประเทศไทยและมาเลเซีย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มแนวร่วมของตนเอง อีกทั้งจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนในการพยายามแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน
เช่นเดียวกับการนำเสนอข่าวของประเทศไทย โดยสื่อมวลชนในประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลทั้งหมด ก็สามารถยืนยันได้ว่า ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย จะเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริง เช่น ข่าวการปะทะกันของทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กับผู้ก่อความไม่สงบ
ส่วนในประเทศมาเลเซียก็เตรียมเผยแพร่ภาพและเนื้อหาของข่าวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้มีการวิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของทหารไทยแต่อย่างใด
ขณะที่การเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มีการเผยแพร่ข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กงสุลใหญ่ ณ โกตาบารู ยังกล่าวถึงปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการพูดถึงประเด็นนี้ด้วยหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องของบุคคลสองสัญชาติอาจเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และประเทศมาเลเซียก็พยายามที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากขณะนี้ทั้งสองประเทศไม่สามารถทำการยืนยันว่าบุคคลใดเป็นบุคคลที่มีสองสัญชาติ เพราะระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกัน อีกทั้งชื่อและนามสกุลอาจมีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบตัวบุคคลเป็นอย่างมาก จึงอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศมาเลเซียที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่ต้องการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในส่วนของผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศ ได้มีการหารือกันในระดับนโยบายเสมอ ว่าควรมีการเดินทางเยือนระหว่างกันให้บ่อยครั้ง เพราะในการเดินทางมาในแต่ละครั้งผลลัพธ์จะได้หรือไม่ได้อะไร แต่จะมีผลเชิงบวกต่อสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นจะส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของประเทศไทยและมาเลเซีย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มแนวร่วมของตนเอง อีกทั้งจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนในการพยายามแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน
เช่นเดียวกับการนำเสนอข่าวของประเทศไทย โดยสื่อมวลชนในประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลทั้งหมด ก็สามารถยืนยันได้ว่า ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย จะเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริง เช่น ข่าวการปะทะกันของทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กับผู้ก่อความไม่สงบ
ส่วนในประเทศมาเลเซียก็เตรียมเผยแพร่ภาพและเนื้อหาของข่าวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้มีการวิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของทหารไทยแต่อย่างใด
ขณะที่การเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มีการเผยแพร่ข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กงสุลใหญ่ ณ โกตาบารู ยังกล่าวถึงปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการพูดถึงประเด็นนี้ด้วยหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องของบุคคลสองสัญชาติอาจเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และประเทศมาเลเซียก็พยายามที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากขณะนี้ทั้งสองประเทศไม่สามารถทำการยืนยันว่าบุคคลใดเป็นบุคคลที่มีสองสัญชาติ เพราะระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกัน อีกทั้งชื่อและนามสกุลอาจมีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบตัวบุคคลเป็นอย่างมาก จึงอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศมาเลเซียที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่ต้องการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้