การเมืองอิตาลีเจอทางตันในวันอังคาร(26ก.พ.) ภายหลังผลการเลือกตั้งซึ่งเห็นกันว่ามีความสำคัญยิ่งยวดสำหรับเขตยูโรโซนทั้งหมด ไม่มีผู้ชนะอย่างชัดเจน โดยที่กลุ่มพรรคกลางซ้ายแม้คุมสภาล่างได้ แต่ก็ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาสูง ทำให้ลงท้ายผู้ชนะตัวจริงอาจเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่เรียกร้องให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับเงินยูโร ความชะงักงันเช่นนี้ส่งผลให้ตลาดการเงินอ่อนตัวลงเป็นทิวแถว
ผลการนับคะแนนของการเลือกตั้งในอิตาลีซึ่งจัดขึ้น 2 วัน ในวันอาทิตย์ (24) และวันจันทร์ (25) โดยที่เป็นการเลือกตั้งสมาชิกในทั้ง 2 สภา ปรากฏว่า ในสภาล่าง ปิเอร์ ลุยจิ แบร์ซานี หัวหน้าพรรคเดโมเครติก ปาร์ตี้ และผู้นำแนวร่วมฝ่ายกลางซ้าย คว้าชัยชนะเป็นที่ 1 ได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยคะแนน 29.54% ขณะที่ อดีตนายกรัฐมนตรีจอมอื้อฉาว ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี หัวหน้าพรรคพีเพิล ออฟ ฟรีดอม และพันธมิตรฝ่ายกลางขวาได้อันดับ 2 ด้วยคะแนน 29.18% สำหรับขบวนการไฟฟ์ สตราร์ มูฟเมนต์ (เอ็ม 5 เอส) ของอดีตนักแสดงตลก เบ็ปเป กริลโล ซึ่งมีนโยบายประชานิยมต่อต้านรัฐบาล ได้คะแนนไป 25.5%
หากนับกันเป็นรายพรรค เอ็ม 5 เอส ได้คะแนนไปมากที่สุด และแสดงให้เห็นว่าผู้ออกเสียงชาวอิตาลีจำนวนมากต้องการใช้การเลือกตั้งคราวนี้มาแสดงการประท้วงต่อต้านนโยบายตัดลดรายจ่ายอย่างเข้มงวดตามการบีบบังคับของสหภาพยุโรป(อียู) ที่มีเยอรมนีเป็นผู้นำ
อย่างไรก็ดี ตามรัฐธรรมนูญของอิตาลี พรรคหรือกลุ่มพันธมิตรใดที่ได้คะแนนเสียงการเลือกตั้งในสภาล่างทั่วประเทศเป็นอันดับ 1 ก็จะได้รับการจัดสรรให้มีที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งในสภานี้โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มกลางซ้ายของ แบร์ซานี จึงเป็นผู้ครองเสียงในสภาล่างอย่างเด็ดขาด
ทว่าสำหรับวุฒิสภา การเลือกตั้งใช้วิธีแบ่งประเทศออกเป็นหลายๆ ภาค และนับคะแนนกันภายในภาคนั้นๆ ผู้ที่ชนะที่ 1 ในภาคใดจะได้เสียงวุฒิสภาในภาคนั้นไป 55% ด้วยเหตุนี้แม้ในระดับทั่วประเทศ กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายจะเป็นที่ 1 แต่เมื่อคำนวณกันเป็นรายภาคแล้ว คาดหมายกันว่าฝ่ายนี้จะได้ที่นั่งในสภาสูงไปราว 119 ที่ ขณะที่แนวร่วมกลางขวาของแบร์ลุสโกนีจะได้ 117 ที่ นั่นหมายความว่าไม่มีฝ่ายใดได้ถึง 158 ที่ ซึ่งจะเป็นเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด
เนื่องจากสภาล่างและสภาสูงในอิตาลีนั้นมีอำนาจเกือบจะเท่าๆ กัน ด้วยเหตุนี้พรรคหรือกลุ่มพันธมิตรใดจะสามารถขึ้นปกครองประเทศได้ จำเป็นที่จะต้องได้เสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา ในสภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ จึงเท่ากับว่าไม่มีพรรคหรือพันธมิตรกลุ่มใดเลยสามารถเป็นรัฐบาลได้ ดังที่หนังสือพิมพ์ อิล เมสซักเกโร ของกรุงโรม พาดหัวข่าวตัวโตว่า “ผู้ชนะคือ ไม่มีใครปกครองประเทศได้”
ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งของอิตาลีเป็นปัจจัยสำคัญฉุดให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์กวูบลง 1.55% ในวันจันทร์ (25) และดัชนีนิกเกอิของตลาดโตเกียวรูดลง 1.83% ในวันอังคาร (26) ขณะที่ค่าเงินยูโรทำสถิติต่ำสุดในรอบเกือบ 7 สัปดาห์เมื่อเทียบดอลลาร์ในตลาดเอเชีย จากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยูโรโซน
ผลการนับคะแนนของการเลือกตั้งในอิตาลีซึ่งจัดขึ้น 2 วัน ในวันอาทิตย์ (24) และวันจันทร์ (25) โดยที่เป็นการเลือกตั้งสมาชิกในทั้ง 2 สภา ปรากฏว่า ในสภาล่าง ปิเอร์ ลุยจิ แบร์ซานี หัวหน้าพรรคเดโมเครติก ปาร์ตี้ และผู้นำแนวร่วมฝ่ายกลางซ้าย คว้าชัยชนะเป็นที่ 1 ได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยคะแนน 29.54% ขณะที่ อดีตนายกรัฐมนตรีจอมอื้อฉาว ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี หัวหน้าพรรคพีเพิล ออฟ ฟรีดอม และพันธมิตรฝ่ายกลางขวาได้อันดับ 2 ด้วยคะแนน 29.18% สำหรับขบวนการไฟฟ์ สตราร์ มูฟเมนต์ (เอ็ม 5 เอส) ของอดีตนักแสดงตลก เบ็ปเป กริลโล ซึ่งมีนโยบายประชานิยมต่อต้านรัฐบาล ได้คะแนนไป 25.5%
หากนับกันเป็นรายพรรค เอ็ม 5 เอส ได้คะแนนไปมากที่สุด และแสดงให้เห็นว่าผู้ออกเสียงชาวอิตาลีจำนวนมากต้องการใช้การเลือกตั้งคราวนี้มาแสดงการประท้วงต่อต้านนโยบายตัดลดรายจ่ายอย่างเข้มงวดตามการบีบบังคับของสหภาพยุโรป(อียู) ที่มีเยอรมนีเป็นผู้นำ
อย่างไรก็ดี ตามรัฐธรรมนูญของอิตาลี พรรคหรือกลุ่มพันธมิตรใดที่ได้คะแนนเสียงการเลือกตั้งในสภาล่างทั่วประเทศเป็นอันดับ 1 ก็จะได้รับการจัดสรรให้มีที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งในสภานี้โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มกลางซ้ายของ แบร์ซานี จึงเป็นผู้ครองเสียงในสภาล่างอย่างเด็ดขาด
ทว่าสำหรับวุฒิสภา การเลือกตั้งใช้วิธีแบ่งประเทศออกเป็นหลายๆ ภาค และนับคะแนนกันภายในภาคนั้นๆ ผู้ที่ชนะที่ 1 ในภาคใดจะได้เสียงวุฒิสภาในภาคนั้นไป 55% ด้วยเหตุนี้แม้ในระดับทั่วประเทศ กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายจะเป็นที่ 1 แต่เมื่อคำนวณกันเป็นรายภาคแล้ว คาดหมายกันว่าฝ่ายนี้จะได้ที่นั่งในสภาสูงไปราว 119 ที่ ขณะที่แนวร่วมกลางขวาของแบร์ลุสโกนีจะได้ 117 ที่ นั่นหมายความว่าไม่มีฝ่ายใดได้ถึง 158 ที่ ซึ่งจะเป็นเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด
เนื่องจากสภาล่างและสภาสูงในอิตาลีนั้นมีอำนาจเกือบจะเท่าๆ กัน ด้วยเหตุนี้พรรคหรือกลุ่มพันธมิตรใดจะสามารถขึ้นปกครองประเทศได้ จำเป็นที่จะต้องได้เสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา ในสภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ จึงเท่ากับว่าไม่มีพรรคหรือพันธมิตรกลุ่มใดเลยสามารถเป็นรัฐบาลได้ ดังที่หนังสือพิมพ์ อิล เมสซักเกโร ของกรุงโรม พาดหัวข่าวตัวโตว่า “ผู้ชนะคือ ไม่มีใครปกครองประเทศได้”
ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งของอิตาลีเป็นปัจจัยสำคัญฉุดให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์กวูบลง 1.55% ในวันจันทร์ (25) และดัชนีนิกเกอิของตลาดโตเกียวรูดลง 1.83% ในวันอังคาร (26) ขณะที่ค่าเงินยูโรทำสถิติต่ำสุดในรอบเกือบ 7 สัปดาห์เมื่อเทียบดอลลาร์ในตลาดเอเชีย จากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยูโรโซน
