นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 29.3-29.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกหายไปแล้วประมาณ 2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และหากยังคงแข็งค่าขึ้นทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้รายได้จากการส่งออกหายไปประมาณ 1-1.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยภาคเอกชนกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นถึง 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัย ทั้งตลาดคู่ค้าชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงจากการทุ่มตลาดของสินค้าบางประเภท รวมทั้งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 10 จากปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะต้องเข้ามาดูแลผลกระทบให้กับผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
นายธนิต กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาค แต่ยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภูมิภาค จึงเป็นจังหวะที่ ธปท. ควรลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อลดส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศ และชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ
นายธนิต กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาค แต่ยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภูมิภาค จึงเป็นจังหวะที่ ธปท. ควรลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อลดส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศ และชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ