ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ชี้แจงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมีหมายเรียกให้ผู้บริหารของกรุงเทพมหานคร บริษัทกรุงเทพธนาคม และบีทีเอส ไปรับทราบข้อกล่าวหาและข้อหาในเรื่องการลงนามในสัญญาว่าจ้างการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.006/55 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ในวันที่ 9 มกราคม 2556 โดยข้อกล่าวหา คือ ร่วมกันประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515
บริษัทฯ ชี้แจงว่า สัญญาฉบับดังกล่าวที่บริษัทฯ ได้ลงนามกับบริษัทกรุงเทพธนาคม เป็นสัญญาว่าจ้างให้บริษัทฯ จัดการเดินรถและซ่อมบำรุงเท่านั้น โดยรายรับที่เกิดจากโครงการตามสัญญาดังกล่าว ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าเช่าพื้นที่ จะตกเป็นของกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น บริษัทฯ จะได้รับเพียงค่าจ้างเท่านั้น สัญญาฉบับนี้จึงไม่ได้เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือต่อเติมสัญญาสัมปทานเดิมที่บริษัทฯ ได้รับจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังมีอายุเหลืออยู่อีกประมาณ 17 ปี ซึ่งเมื่อครบอายุสัมปทานเดิมแล้วสิทธิของบริษัทตามสัญญาสัมปทานก็สิ้นสุดลง โดยบริษัทจะเป็นเพียงผู้รับจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงในเส้นทางสัมปทานเดิมที่มีสิทธิได้รับเพียงค่าจ้างเท่านั้น จึงมิใช่เป็นสัญญาที่เป็นการต่อหรือขยายสัมปทาน
โดยตามที่จริงแล้ว บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเดินรถและซ่อมบำรุงกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด มาตั้งแต่ปี 2552 ในการรับจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ แต่เนื่องจากต่อมากรุงเทพมหานครได้มีการดำเนินการส่วนต่อขยายเพิ่มเติม จึงต้องการทำให้เกิดประสิทธิภาพ และต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย จึงให้สัญญาที่ยาวขึ้นแก่บริษัทฯ แต่หลักการยังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ในเรื่องนี้กรุงเทพมหานครได้มีการออกข้อกำหนดการจ้าง (TOR) โดยใช้อำนาจตามกฎหมายของกรุงเทพมหานครในการดำเนินกิจการขนส่ง ซึ่งบริษัทได้เข้าเสนอราคาจนกระทั่งได้รับการคัดเลือกและมีการลงนามในสัญญาดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษในการให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้ ซึ่งบริษัทฯ ยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย และปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาสัมปทานมาโดยตลอด อีกทั้งยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเสมอมา ทั้งนี้ บริษัทฯอยากขอความเห็นใจในฐานะภาคเอกชนที่เข้ามารับดำเนินงานให้กับภาครัฐตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดโดยภาครัฐและต้องการดำเนินงานด้วยความตั้งใจที่ดี ต้องการให้ประชาชนได้รับคุณภาพการบริการที่ดี
บริษัทฯ ชี้แจงว่า สัญญาฉบับดังกล่าวที่บริษัทฯ ได้ลงนามกับบริษัทกรุงเทพธนาคม เป็นสัญญาว่าจ้างให้บริษัทฯ จัดการเดินรถและซ่อมบำรุงเท่านั้น โดยรายรับที่เกิดจากโครงการตามสัญญาดังกล่าว ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าเช่าพื้นที่ จะตกเป็นของกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น บริษัทฯ จะได้รับเพียงค่าจ้างเท่านั้น สัญญาฉบับนี้จึงไม่ได้เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือต่อเติมสัญญาสัมปทานเดิมที่บริษัทฯ ได้รับจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังมีอายุเหลืออยู่อีกประมาณ 17 ปี ซึ่งเมื่อครบอายุสัมปทานเดิมแล้วสิทธิของบริษัทตามสัญญาสัมปทานก็สิ้นสุดลง โดยบริษัทจะเป็นเพียงผู้รับจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงในเส้นทางสัมปทานเดิมที่มีสิทธิได้รับเพียงค่าจ้างเท่านั้น จึงมิใช่เป็นสัญญาที่เป็นการต่อหรือขยายสัมปทาน
โดยตามที่จริงแล้ว บริษัทฯ ได้ทำสัญญาเดินรถและซ่อมบำรุงกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด มาตั้งแต่ปี 2552 ในการรับจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ แต่เนื่องจากต่อมากรุงเทพมหานครได้มีการดำเนินการส่วนต่อขยายเพิ่มเติม จึงต้องการทำให้เกิดประสิทธิภาพ และต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย จึงให้สัญญาที่ยาวขึ้นแก่บริษัทฯ แต่หลักการยังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ในเรื่องนี้กรุงเทพมหานครได้มีการออกข้อกำหนดการจ้าง (TOR) โดยใช้อำนาจตามกฎหมายของกรุงเทพมหานครในการดำเนินกิจการขนส่ง ซึ่งบริษัทได้เข้าเสนอราคาจนกระทั่งได้รับการคัดเลือกและมีการลงนามในสัญญาดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษในการให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้ ซึ่งบริษัทฯ ยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย และปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาสัมปทานมาโดยตลอด อีกทั้งยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเสมอมา ทั้งนี้ บริษัทฯอยากขอความเห็นใจในฐานะภาคเอกชนที่เข้ามารับดำเนินงานให้กับภาครัฐตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดโดยภาครัฐและต้องการดำเนินงานด้วยความตั้งใจที่ดี ต้องการให้ประชาชนได้รับคุณภาพการบริการที่ดี