นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาในงานสัมมนา Thailand Focus 2012 ภายใต้หัวข้อ ประเทศไทยกับการเตรียมตัวสู่การเติบโตครั้งใหม่ โดยยืนยันว่า รัฐบาลได้พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการใช้ปัจจัยภายในประเทศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ทั้งการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก การปรับค่าแรง พักหนี้เกษตรกร เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปแบบสมดุล และยังเตรียมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานผ่านการลงทุน 2 ล้านล้านบาท โดยยังไม่ทำให้ภาระหนี้สาธารณะเกินร้อยละ 60 ของจีดีพีตามกรอบที่กำหนดไว้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน เมื่อรัฐบาลได้เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ให้เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างประเทศรายได้สูงและรายได้ต่ำในอาเซียน เพื่อพัฒนาด้านคมนาคม การค้า การลงทุน นโยบายต่างๆ คาดว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศได้ต่อเนื่อง
โดยขณะนี้รัฐบาลได้พยายามผลักดัน พ.ร.บ.ร่วมลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา คาดว่าทั้ง ส.ส. และ ส.ว. จะเห็นความสำคัญร่วมกันผ่านกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ระหว่างรัฐและเอกชนดำเนินการได้ และขณะนี้กองทุนโครงสร้างพื้นฐานอยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียด เงื่อนไขการลงทุน เพื่อขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าภาคเอกชนจะเปิดกองทุนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และขายหน่วยลงทุนในตลาดได้ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวและมีวิกฤติทางการเงินจากปัญหาสหภาพยุโรป แต่มองว่ากระทบต่อไทยเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยเพราะมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง
โดยขณะนี้รัฐบาลได้พยายามผลักดัน พ.ร.บ.ร่วมลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา คาดว่าทั้ง ส.ส. และ ส.ว. จะเห็นความสำคัญร่วมกันผ่านกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ระหว่างรัฐและเอกชนดำเนินการได้ และขณะนี้กองทุนโครงสร้างพื้นฐานอยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียด เงื่อนไขการลงทุน เพื่อขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าภาคเอกชนจะเปิดกองทุนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และขายหน่วยลงทุนในตลาดได้ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวและมีวิกฤติทางการเงินจากปัญหาสหภาพยุโรป แต่มองว่ากระทบต่อไทยเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยเพราะมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง
