นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุม Asian Business Summit ครั้งที่ 3 โดยมีองค์กรภาคเอกชน 14 หน่วยงานจาก 12 เขตเศรษฐกิจอาเซียนร่วมระดมความเห็น เพื่อลดปัญหาอุปสรรคการค้าการลงทุน และต้อนรับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมของพม่าเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งแรก เพื่อร่วมกันแสดงความคิดเห็นวางแผนร่วมกันป้องกันปัญหาผลกระทบจากหนี้ยุโรป
ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียกำลังขยายตัวได้อย่างดี หลังจากประสบปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเอเชียจึงต้องหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจภายใน ด้วยการกระตุ้นการค้าและการลงทุนในพื้นที่แทนการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก
นอกจากนี้ ยังได้ขยายกองทุนริเริ่มเชียงใหม่ เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความผันผวนจากภายนอก และที่ประชุมยังระดมความเห็นเพื่อนำข้อสรุปเพื่อเสนอรัฐบาลไทยส่งไปยังรัฐบาลประเทศต่างๆ ในแถบอาเซียนช่วยกันลดปัญหาการค้าการลงทุนระหว่างกัน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวย้ำว่า รัฐบาลต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆ เพื่อให้การค้าการลงทุนของภาคเอกชนมีความสะดวก โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือของประเทศที่อยู่ติดทะเล
ส่วนกรณีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบวี โดยปีนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะอยู่ที่ร้อยละ5 ปี 2556 อยู่ที่ร้อยละ 7 ขณะที่รัฐบาลไทยยืนยันว่า เศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตร้อยละ7 เพื่อตั้งเป้าหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างจริงจัง ส่วนปี 2556 ที่ไอเอ็มเอฟมองว่าจีดีพี จะเติบโตร้อยละ7 นั้น มาจากการเร่งลงทุนโครงพื้นฐานและโครการป้องกันน้ำท่วมของหน่วยงานต่างๆ
ส่วนการลงทุนโครงการป้องกันน้ำท่วม 300,000 ล้านบาทนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า พร้อมตรวจสอบ และคัดเลือกโครงการลงทุนให้มีความโปร่งใสโดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เข้ามาประมูลจะผ่านสถานทูต ขณะที่กรณีมีกระแสข่าวว่ามีการคิดหัวคิวร้อยละ 45 จากโครงการป้องกันน้ำท่วมระยะสั้นในการปรับปรุงถนน ขุดลอกคูคลองนั้น ได้มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการดังกล่าวกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า โครงการลงทุนทั้งหมดรัฐบาลมีแผนการตรวจสอบ เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต
ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียกำลังขยายตัวได้อย่างดี หลังจากประสบปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเอเชียจึงต้องหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจภายใน ด้วยการกระตุ้นการค้าและการลงทุนในพื้นที่แทนการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก
นอกจากนี้ ยังได้ขยายกองทุนริเริ่มเชียงใหม่ เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความผันผวนจากภายนอก และที่ประชุมยังระดมความเห็นเพื่อนำข้อสรุปเพื่อเสนอรัฐบาลไทยส่งไปยังรัฐบาลประเทศต่างๆ ในแถบอาเซียนช่วยกันลดปัญหาการค้าการลงทุนระหว่างกัน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวย้ำว่า รัฐบาลต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆ เพื่อให้การค้าการลงทุนของภาคเอกชนมีความสะดวก โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือของประเทศที่อยู่ติดทะเล
ส่วนกรณีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบวี โดยปีนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะอยู่ที่ร้อยละ5 ปี 2556 อยู่ที่ร้อยละ 7 ขณะที่รัฐบาลไทยยืนยันว่า เศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตร้อยละ7 เพื่อตั้งเป้าหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างจริงจัง ส่วนปี 2556 ที่ไอเอ็มเอฟมองว่าจีดีพี จะเติบโตร้อยละ7 นั้น มาจากการเร่งลงทุนโครงพื้นฐานและโครการป้องกันน้ำท่วมของหน่วยงานต่างๆ
ส่วนการลงทุนโครงการป้องกันน้ำท่วม 300,000 ล้านบาทนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า พร้อมตรวจสอบ และคัดเลือกโครงการลงทุนให้มีความโปร่งใสโดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เข้ามาประมูลจะผ่านสถานทูต ขณะที่กรณีมีกระแสข่าวว่ามีการคิดหัวคิวร้อยละ 45 จากโครงการป้องกันน้ำท่วมระยะสั้นในการปรับปรุงถนน ขุดลอกคูคลองนั้น ได้มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการดังกล่าวกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า โครงการลงทุนทั้งหมดรัฐบาลมีแผนการตรวจสอบ เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต