นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า หลังคณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการจัดตั้งกองทุนประกันภัยวงเงิน 50,000 ล้านบาท คปภ. ได้จัดประชุมหารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย และบริษัทประกันภัย ทั้ง 67 บริษัท วางหลักการ วัตถุประสงค์ และโครงร่างรูปแบบกองทุนภายใต้เป้าหมายที่จะจัดให้มีการรับประกันภัยในจำนวนสูงสุด อัตราเบี้ยประกันภัยต่ำสุด และจะส่งผ่านความสามารถในการรับประกันภัยนี้ไปยังสาธารณชน ในอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม ตามพื้นที่เสี่ยง
กองทุนดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองความความเสี่ยงภัยใน 3 ภัยธรรมชาติ ได้แก่ น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหว และครอบคลุมกลุ่มทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านที่อยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม เบื้องต้นกำหนดจำนวนเงินจำกัดความรับผิด สำหรับบ้านที่อยู่อาศัยไว้ที่ ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ธุรกิจ SME กำหนดความคุ้มครองไว้ 20% ของทุนประกัน และสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย และภาคอุตสาหกรรม กำหนดความคุ้มครองไว้ 10% ของทุนประกันและสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย โดยจัดการเอาประกันภัยต่อ เพื่อรองรับความเสียหายต่อเหตุการณ์ ดังนี้ ความเสียหาย 2,000 ล้านบาทแรก บริษัทประกันภัยร่วมกันรับเสี่ยงภัย ความเสียหาย 2,001 - 30,000 ล้านบาท รัฐบาลจะเข้าค้ำประกันกองทุนฯในการเป็นผู้รับเสี่ยงภัยสูงสุด 28,000 ล้านบาทและ ความเสียหาย 30,001 - 500,000 ล้านบาท กองทุนฯ จะทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ได้ทำการศึกษารูปแบบการรับประกันมหันตภัยในต่างประเทศ ประกอบการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยังคงมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ ในกรณีที่ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น รายจ่ายจากการเอาประกันภัยต่อของกองทุนฯ จะเท่ากับรายรับคือไม่มีค่าใช้จ่าย กรณีที่มีมหัตภัยเกิดขึ้นสาธารณชน จะได้ความคุ้มครองโดยรวมที่ 500,000 ล้านบาท โดยกองทุนจะมีค่าใช้จ่าย 28,000 ล้านบาท และจากการรับความเสี่ยงภัยในส่วนแรกของบริษัทประกันภัยที่ 2,000 ล้านบาท
กองทุนดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองความความเสี่ยงภัยใน 3 ภัยธรรมชาติ ได้แก่ น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหว และครอบคลุมกลุ่มทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านที่อยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม เบื้องต้นกำหนดจำนวนเงินจำกัดความรับผิด สำหรับบ้านที่อยู่อาศัยไว้ที่ ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ธุรกิจ SME กำหนดความคุ้มครองไว้ 20% ของทุนประกัน และสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย และภาคอุตสาหกรรม กำหนดความคุ้มครองไว้ 10% ของทุนประกันและสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย โดยจัดการเอาประกันภัยต่อ เพื่อรองรับความเสียหายต่อเหตุการณ์ ดังนี้ ความเสียหาย 2,000 ล้านบาทแรก บริษัทประกันภัยร่วมกันรับเสี่ยงภัย ความเสียหาย 2,001 - 30,000 ล้านบาท รัฐบาลจะเข้าค้ำประกันกองทุนฯในการเป็นผู้รับเสี่ยงภัยสูงสุด 28,000 ล้านบาทและ ความเสียหาย 30,001 - 500,000 ล้านบาท กองทุนฯ จะทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ได้ทำการศึกษารูปแบบการรับประกันมหันตภัยในต่างประเทศ ประกอบการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยังคงมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ ในกรณีที่ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น รายจ่ายจากการเอาประกันภัยต่อของกองทุนฯ จะเท่ากับรายรับคือไม่มีค่าใช้จ่าย กรณีที่มีมหัตภัยเกิดขึ้นสาธารณชน จะได้ความคุ้มครองโดยรวมที่ 500,000 ล้านบาท โดยกองทุนจะมีค่าใช้จ่าย 28,000 ล้านบาท และจากการรับความเสี่ยงภัยในส่วนแรกของบริษัทประกันภัยที่ 2,000 ล้านบาท
