พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีกระทำความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ว่าด้วยการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ (ล้มเจ้า) กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีดังกล่าว ว่า ดีเอสไอเห็นควรทบทวนพิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ ก่อนแจ้งข้อหาผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นแกนนำ นปช.ทั้ง 19 คน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ โดยยอมรับว่า ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้เร่งดำเนินการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน โดยมีพยานหลักฐานระดับหนึ่ง แต่ขณะนี้การสอบสวนของดีเอสไอมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ที่ได้ทั้งจากคำให้การของผู้ถูกกล่าว
หา ที่ให้ทนายยื่นเข้ามา และการถอดถ้อยคำปราศรัย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา อย่างละเอียด และการพิจารณาเจตนา และพฤติกรรมของผู้พูด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เนื่องจากคดีดังกล่าวมีโทษรุนแรง
พ.ต.อ.ประเวศน์ ยืนยันอีกว่า การเปลี่ยนพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ไม่มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือ ในการสั่งไม่ฟ้อง หรือเปลี่ยนแปลงการสอบสวน แต่ต้องการรวมคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน มารวมไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา เพราะคดีที่เกี่ยวข้องกับแผนผังล้มเจ้าของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. มีกว่า 30 คดี
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวในเรื่องนี้ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว คงต้องไปสอบถามกับหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ คือ พ.ต.อ.ประเวศน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เอาเอง
หา ที่ให้ทนายยื่นเข้ามา และการถอดถ้อยคำปราศรัย เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา อย่างละเอียด และการพิจารณาเจตนา และพฤติกรรมของผู้พูด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เนื่องจากคดีดังกล่าวมีโทษรุนแรง
พ.ต.อ.ประเวศน์ ยืนยันอีกว่า การเปลี่ยนพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ไม่มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือ ในการสั่งไม่ฟ้อง หรือเปลี่ยนแปลงการสอบสวน แต่ต้องการรวมคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน มารวมไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา เพราะคดีที่เกี่ยวข้องกับแผนผังล้มเจ้าของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. มีกว่า 30 คดี
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวในเรื่องนี้ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว คงต้องไปสอบถามกับหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ คือ พ.ต.อ.ประเวศน์ รองอธิบดีดีเอสไอ เอาเอง