นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในจังหวัด ว่า มีจุดที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษเพิ่มขึ้นในพื้นที่ฝั่งเหนือของจังหวัด รวม 8 อำเภอ เนื่องจากปริมาณน้ำจำนวนมากในแม่น้ำลพบุรี และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่ไหลเข้าสู่จังหวัด มีระดับสูงขึ้นต่อเนื่องประมาณ 30-40 เซนติเมตรต่อวัน จึงให้พื้นที่เร่งวางแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมถนน พร้อมเตรียมจุดอพยพที่ปลอดภัยกว่า 80 จุด รองรับประชาชนที่บ้านเรือนอาจถูกน้ำท่วมสูง จนไม่สามารถอาศัยได้ ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตก ที่รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา และถูกน้ำท่วมมานานกว่า 2 เดือน ประชาชนเริ่มชิน และยังไม่มีทีท่าว่าน้ำจะลดระดับลง คาดว่ามวลน้ำที่จะปล่อยมาจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ในวันพรุ่งนี้(29 ก.ย.) จะไหลมาถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในอีก 7 วัน ส่งผลให้ระดับน้ำจะสูงขึ้นอีก 2-10 เซนติเมตร
ส่วนปัญหาห้องน้ำไม่เพียงพอ ยังเป็นปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ไข ล่าสุดได้เตรียมแจกส้วมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนครัวเรือนละ 1 ถัง ซึ่งเป็นส้วมที่ทางจังหวัดพัฒนาขึ้นเองจากถังพลาสติกขนาด 70 ลิตร วางไม้อัดเป็นที่นั่งตรงปากถัง ลักษณะการใช้เหมือนกระโถมใบใหญ่ สามารถใช้ได้นานกว่า 1 เดือน ภายในบรรจุสารดับกลิ่น เมื่อครบ 1 เดือน จะมีเจ้าหน้าที่ไปเก็บตามบ้าน ใช้ทดแทนส้วมลอยน้ำและส้วมกระดาษที่มีไม่เพียงพอ และมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บจนต้องปล่อยของเสียลอยไปตามน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นทั่วพื้นที่
นายวิทยา ยังกล่าวถึงปัญหาที่พบเพิ่มขึ้น ว่า คือการดูแลสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุ ที่มีอยู่กว่า 200,000 คน ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง เพราะเจ้าหน้าที่ อสม.มีเพียง 10,000 คน จึงต้องการอาสาสมัครเพิ่มเติม หากเห็นธงเขียวที่เขียวว่า ที่นี่มีคนป่วย สามารถเข้าไปช่วยงานได้ทันที
ส่วนปัญหาห้องน้ำไม่เพียงพอ ยังเป็นปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ไข ล่าสุดได้เตรียมแจกส้วมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนครัวเรือนละ 1 ถัง ซึ่งเป็นส้วมที่ทางจังหวัดพัฒนาขึ้นเองจากถังพลาสติกขนาด 70 ลิตร วางไม้อัดเป็นที่นั่งตรงปากถัง ลักษณะการใช้เหมือนกระโถมใบใหญ่ สามารถใช้ได้นานกว่า 1 เดือน ภายในบรรจุสารดับกลิ่น เมื่อครบ 1 เดือน จะมีเจ้าหน้าที่ไปเก็บตามบ้าน ใช้ทดแทนส้วมลอยน้ำและส้วมกระดาษที่มีไม่เพียงพอ และมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บจนต้องปล่อยของเสียลอยไปตามน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นทั่วพื้นที่
นายวิทยา ยังกล่าวถึงปัญหาที่พบเพิ่มขึ้น ว่า คือการดูแลสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุ ที่มีอยู่กว่า 200,000 คน ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง เพราะเจ้าหน้าที่ อสม.มีเพียง 10,000 คน จึงต้องการอาสาสมัครเพิ่มเติม หากเห็นธงเขียวที่เขียวว่า ที่นี่มีคนป่วย สามารถเข้าไปช่วยงานได้ทันที