สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก ในเรื่องความสามารถที่จะทำการแข่งขัน สืบเนื่องจากความโดดเด่นในเรื่องนวัตกรรมและประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน ขณะที่สหรัฐฯยังคงย่ำแย่ลงจนอยู่อันดับ 5 ในปีนี้ สำหรับแถบเอเชีย สิงคโปร์ที่เคยนำโด่งมาตลอดก็ยังรักษาแชมป์ของระดับภูมิภาค แถบขยับขึ้นไปนั่งแป้นอันดับ 2 ของทั่วโลกได้อีกด้วย สำหรับไทยอยู่ที่ 39 ต่ำลงมา 1 ขั้น ทั้งนี้เป็นผลการจัดการจัดอันดับที่จัดทำโดย เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) ประจำปี 2011/2012 ซึ่งนำออกมาเผยแพร่เมื่อวันพุธ(7)
ดับเบิลยูอีเอฟระบุว่า การที่สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นที่ 1 ในการจัดอันดับ “ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของโลก” ปีนี้ เนื่องจาก “พวกสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ในกลุ่มยอดเยี่ยมที่สุดของโลก และการร่วมมือกันอย่างแข็งขันระหว่างภาควิชาการและภาคธุรกิจของประเทศนี้ เมื่อผสมผสานกับการที่บริษัทต่างๆ ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ในสูงในเรื่องอาร์แอนด์ดี (การวิจัยและพัฒนา) เหล่านี้จึงกลายเป็นหลักประกันว่า งานวิจัยเหล่านี้ส่วนใหญ่ทีเดียวจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่สามารถจำหน่ายในตลาดได้”
ด้วยเหตุนี้ ประเทศซึ่งมีประชากรราว 8 ล้านคนแห่งนี้ จึงค่อนข้างจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรจากวิกฤตภาคการเงินที่ผลสร้างความเสียหายไปทั่วโลก โดยที่ยังคงมีอัตราการว่างงานและระดับหนี้สินที่ต่ำ
สำหรับไทย รายงานนี้กล่าวว่าแม้ปีนี้อันดับจะลดลงมา 1 ขั้น แต่ก็ถือว่าประเทศไทยสามารถรักษาคะแนนรวมของตน และทำท่าจะกำลังมีเสถียรภาพขึ้นมาแล้วหลังจากที่ผลประกอบการย่ำแย่ลงในตลอดระยะเวลา 4 ปีก่อนหน้า จุดแข็งที่สุดของไทยก็คือ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่กระเตื้องขึ้นอย่างมาก ในปีนี้อยู่ในอันดับ 28 ดีขึ้นกว่าปีก่อนถึง 18 อันดับ ขณะที่การขาดดุลในภาครัฐยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมกันได้ และประสิทธิภาพของตลาดแรงงานซึ่งอยู่ในอันดับ 30 ก็ถือว่าโดดเด่นทีเดียว
ดับเบิลยูอีเอฟระบุว่า การที่สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นที่ 1 ในการจัดอันดับ “ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของโลก” ปีนี้ เนื่องจาก “พวกสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ในกลุ่มยอดเยี่ยมที่สุดของโลก และการร่วมมือกันอย่างแข็งขันระหว่างภาควิชาการและภาคธุรกิจของประเทศนี้ เมื่อผสมผสานกับการที่บริษัทต่างๆ ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ในสูงในเรื่องอาร์แอนด์ดี (การวิจัยและพัฒนา) เหล่านี้จึงกลายเป็นหลักประกันว่า งานวิจัยเหล่านี้ส่วนใหญ่ทีเดียวจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่สามารถจำหน่ายในตลาดได้”
ด้วยเหตุนี้ ประเทศซึ่งมีประชากรราว 8 ล้านคนแห่งนี้ จึงค่อนข้างจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรจากวิกฤตภาคการเงินที่ผลสร้างความเสียหายไปทั่วโลก โดยที่ยังคงมีอัตราการว่างงานและระดับหนี้สินที่ต่ำ
สำหรับไทย รายงานนี้กล่าวว่าแม้ปีนี้อันดับจะลดลงมา 1 ขั้น แต่ก็ถือว่าประเทศไทยสามารถรักษาคะแนนรวมของตน และทำท่าจะกำลังมีเสถียรภาพขึ้นมาแล้วหลังจากที่ผลประกอบการย่ำแย่ลงในตลอดระยะเวลา 4 ปีก่อนหน้า จุดแข็งที่สุดของไทยก็คือ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่กระเตื้องขึ้นอย่างมาก ในปีนี้อยู่ในอันดับ 28 ดีขึ้นกว่าปีก่อนถึง 18 อันดับ ขณะที่การขาดดุลในภาครัฐยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมกันได้ และประสิทธิภาพของตลาดแรงงานซึ่งอยู่ในอันดับ 30 ก็ถือว่าโดดเด่นทีเดียว