พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวถึงการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง โดยย้ำเตือนรัฐบาลในการดำเนินการเพียงแค่ความต้องการทางการเมือง ก็อาจส่งผลต่อกลไกในระบบให้ไม่สามารถตอบสนองนโยบายได้ พร้อมกับแนะนำให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ลาออกจากราชการแทนการรับตำแหน่งที่รัฐบาลเสนอ เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง
ทั้งนี้ ในเหตุผลสำคัญที่ พล.อ.ประทินอ้างอิงให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ลาออก แทนรับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คือการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ปกป้องรักษาน้ำใจของข้าราชการคนอื่นไปในคราวเดียวกันด้วย เพราะหากโยกย้ายไปสังกัดองค์กรอื่นก็จะมีผู้ที่เติบโตทางราชการและคาดหวังที่จะรับตำแหน่งต้องเสียโอกาสไปอีก
ในการเปลี่ยนตัวทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง อดีตอธิบดีกรมตำรวจเห็นว่า เป็นเพียงความต้องการของฝ่ายการเมืองที่อยากให้คนใกล้ชิดเติบโต อาจขาดจิตสำนึกที่ดีไป และส่งผลให้กลไกบกพร่องจนไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ จึงเสนอให้มีการแก้กฎหมาย โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยเช่นในอดีต แทนการขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกฎหมายมีช่องว่างให้การเมืองแทรกแซงมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ในเหตุผลสำคัญที่ พล.อ.ประทินอ้างอิงให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ลาออก แทนรับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คือการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ปกป้องรักษาน้ำใจของข้าราชการคนอื่นไปในคราวเดียวกันด้วย เพราะหากโยกย้ายไปสังกัดองค์กรอื่นก็จะมีผู้ที่เติบโตทางราชการและคาดหวังที่จะรับตำแหน่งต้องเสียโอกาสไปอีก
ในการเปลี่ยนตัวทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง อดีตอธิบดีกรมตำรวจเห็นว่า เป็นเพียงความต้องการของฝ่ายการเมืองที่อยากให้คนใกล้ชิดเติบโต อาจขาดจิตสำนึกที่ดีไป และส่งผลให้กลไกบกพร่องจนไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ จึงเสนอให้มีการแก้กฎหมาย โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยเช่นในอดีต แทนการขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกฎหมายมีช่องว่างให้การเมืองแทรกแซงมาโดยตลอด
