กสร.ประเมินผลดี-ผลเสียนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บ.

นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารกรมสวัสดิการฯ เพื่อเตรียมรับมือผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ว่า ที่ประชุมได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และผลดีผลเสียของนโยบายนี้ ซึ่งในส่วนของผลดี จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีความยากจนและที่ผ่านมาการปรับขึ้นค่าจ้างแต่ละครั้งไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตของแรงงานดีขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ระบุว่า แรงงานที่อยู่ในระบบเป็นผู้ประกันตนกว่า 9 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 5 ล้านคน โดยถือเป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังเดือดร้อน นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพราะเชื่อว่าค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะช่วยจูงใจให้ผู้ใช้แรงงานที่หลุดออกไปนอกระบบ เช่น แรงงานภาคเกษตร ผู้ประกอบอาชีพอิสระกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยให้การจ้างงานแรงงานต่างด้าวลดลง เนื่องจากนายจ้างจะหันมาจ้างคนไทยมากกว่าในอัตราค่าจ้างเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นทั้งจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีบุคคลธรรมดา และกองทุนประกันสังคมสามารถเก็บเงินสมทบได้มากขึ้นด้วย
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวอีกว่า ส่วนผลเสียคือบริษัทต่างชาติอาจจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนค่าแรงถูกกว่า แต่เชื่อว่าจะเหลือสถานประกอบการที่มีคุณภาพอยู่ ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้นลูกจ้างที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นสถานประกอบการที่เน้นใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องหนัง ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร โรงแรมและการบริการ ซึ่งมีแรงงานอยู่ทั้งหมดกว่า 4 ล้านคน