นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย การติดตามสถานการณ์การนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟตา ปี 2554 ของไทยในรอบ 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2554 ว่า หากพิจารณามูลค่าการส่งออกและนำเข้าโดยรวม ยางพาราธรรมชาติ ไทยได้เปรียบดุลการค้าอเซียน 9 ประเทศมากขึ้น คิดเป็นมูลค่า 51,400 ล้านบาท มูลค่าส่งออก 68,000 ล้านบาท และมูลค่านำเข้า 16,500 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้ารวมสูงถึง 84,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 12.95 หากเปรียบเทียบโดยไม่รวมยางพาราในช่วงเดียวกันของปี 2553 มีมูลค่าการค้า 68,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 63,100 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.09 ในช่วงเดียวกันของปี โดยไทยส่งออก 52,300 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.7 ขณะที่นำเข้า 16,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.75 ทำให้ได้เปรียบดุลการค้า 35,800 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ร้อยละ 15.32
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ไทยขยายปริมาณการส่งออกไปอาเซียนมากขึ้น ได้แก่ หอมหัวใหญ่ หอมหัวเล็กสดแช่เย็น ลำใยสด มะม่วงสด ชิ้นส่วนสัตว์ปีกแช่แข็ง เนื้อกระบือแช่แข็ง และใบจากที่ใช้มวนบุหรี่ ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากอาเซียนมากขึ้น ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันโอเลอีนจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย กากน้ำมันจากผลปาล์มสำหรับทำอาหารสัตว์ มันสำปะหลังจากกัมพูชา มะพร้าวสดและผลแห้ง จากอินโดนีเซียและเวียดนาม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ โค กระบือมีชีวิต และไม้ตัดดอกสำหรับจัดช่อ
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ไทยขยายปริมาณการส่งออกไปอาเซียนมากขึ้น ได้แก่ หอมหัวใหญ่ หอมหัวเล็กสดแช่เย็น ลำใยสด มะม่วงสด ชิ้นส่วนสัตว์ปีกแช่แข็ง เนื้อกระบือแช่แข็ง และใบจากที่ใช้มวนบุหรี่ ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากอาเซียนมากขึ้น ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันโอเลอีนจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย กากน้ำมันจากผลปาล์มสำหรับทำอาหารสัตว์ มันสำปะหลังจากกัมพูชา มะพร้าวสดและผลแห้ง จากอินโดนีเซียและเวียดนาม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ โค กระบือมีชีวิต และไม้ตัดดอกสำหรับจัดช่อ
