นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรอบการเจรจาความตกลง เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลงในการส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ แต่เน้นหนักเรื่องการให้สิทธิพิเศษ และแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุน โดยในช่วง 10-15 ปี ที่ผ่านมา ไทยไม่ใช่รับการลงทุนจากต่างประเทศฝ่ายเดียว แต่ได้ก้าวออกไปลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาว ไทยมียอดการลงทุนสูงอันดับ 1 หรือ 2 ส่วนการลงทุนในกัมพูชามีแนวโน้มดีขึ้นตามความสัมพันธ์ของประเทศ ขณะที่จีนตอนเหนือและตอนใต้มีโอกาสที่ไทยจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ ส่วนอินเดียก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุน เช่น บริษัท อิตาเลียนไทย เข้าไปลงทุนรวม 15 โครงการ
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสลงทุนในประเทศเปิดใหม่ เช่น ซีพี เข้าไปลงทุนในรัสเซีย รวมถึงโอกาสการลงทุนยังมีอีกในยุโรปตะวันออก ดังนั้น เอกชนไทยเมื่อเข้าไปลงทุนในต่างประเทศแล้ว ก็ต้องได้รับความคุ้มครอง ทางกระทรวงการต่างประเทศจึงดำเนินการจัดทำร่างกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน โดยจะระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ และมีการทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ จากนั้นจะสรุปเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบและนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อนำไปใช้ในการเจรจากับต่างประเทศต่อไป โดยคาดว่าจะผลักดันให้กรอบการเจรจานี้แล้วเสร็จภายในปีนี้
นายกษิต กล่าวอีกว่า การจัดทำความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน นับเป็นกรอบความร่วมมือสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งให้กับนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศว่า การลงทุนของตนจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุน หากเกิดปัญหา นักลงทุนสามารถฟ้องร้องรัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุนผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการได้
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสลงทุนในประเทศเปิดใหม่ เช่น ซีพี เข้าไปลงทุนในรัสเซีย รวมถึงโอกาสการลงทุนยังมีอีกในยุโรปตะวันออก ดังนั้น เอกชนไทยเมื่อเข้าไปลงทุนในต่างประเทศแล้ว ก็ต้องได้รับความคุ้มครอง ทางกระทรวงการต่างประเทศจึงดำเนินการจัดทำร่างกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน โดยจะระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ และมีการทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ จากนั้นจะสรุปเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบและนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อนำไปใช้ในการเจรจากับต่างประเทศต่อไป โดยคาดว่าจะผลักดันให้กรอบการเจรจานี้แล้วเสร็จภายในปีนี้
นายกษิต กล่าวอีกว่า การจัดทำความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน นับเป็นกรอบความร่วมมือสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งให้กับนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศว่า การลงทุนของตนจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุน หากเกิดปัญหา นักลงทุนสามารถฟ้องร้องรัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุนผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการได้