นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยความคืบหน้ากรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นห่วงว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจถูกถอดจากมรดกโลกนั้นว่า ปัญหาดังกล่าวมีมานานและยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แม้ก่อนหน้านี้ทางจังหวัด ท้องถิ่น และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เคยแก้ปัญหามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องชะลอไป เนื่องจากไม่มีการยอมรับมติจากคณะกรรมการจัดระเบียบมรดกโลก และทางจังหวัด ที่มีมติร่วมกันว่าต้องย้าย
นายวิทยา กล่าวอีกว่า เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้มีมติที่จะแก้ปัญหาร้านค้ารอบวิหารพระมงคลบพิตรที่ตั้งอยู่เรียงราย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่คณะกรรมการยูเนสโก หยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาและระบุไปจนถึงว่าอาจจะถูกถอดออกจากความเป็นเมืองมรดกโลก ซึ่งในขณะนั้นมีการประชุมหารือกันหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นทางจังหวัด กรมศิลปากร เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และธนารักษ์พื้นที่จังหวัด และได้มีข้อตกลงร่วมกันว่าให้ปรับปรุงพื้นที่บริเวณศาลากลางเก่า เพื่อทำเป็นจุดจอดรถและให้พ่อค้าแม่ค้า ที่อยู่โดยรอบวิหารพระมงคลบพิตรได้ใช้เป็นพื้นที่ขายของ เมื่อถึงวันย้ายจริงกลับมีเสียงต่อต้าน และมีการร้องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชะลอคำสั่งทางจังหวัดที่ให้ย้ายไปขายของในสถานที่ที่จัดไว้ให้ จนในที่สุดสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ชะลอการย้ายร้านค้าโดยรอบวิหารพระมงคลบพิตรออกไป กรณีดังกล่าวถือเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดการต่อต้านการปรับปรุงพื้นที่มรดกโลกในครั้งนี้ และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถจัดระเบียบที่เกิดขึ้นได้
ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวยอมรับว่า แม้จะมีข้อเสนอในการแก้ปัญหามากมาย แต่ต้องยอมรับว่างบประมาณ 200 - 300 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างน้อยการแก้ปัญหาภาพรวมของอุทยานฯ จะต้องใช้งบประมาณอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางช่วยเหลือคณะกรรมการที่กำกับดูแล ในการจัดระเบียบพื้นที่เมืองมรดกโลกของพระนครศรีอยุธยาด้วย เพราะเมื่อเกิดปัญหาในการจัดระเบียบทุกครั้งจะต้องเป็นผู้แก้ปัญหาเพียงลำพัง
นายวิทยา กล่าวอีกว่า เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้มีมติที่จะแก้ปัญหาร้านค้ารอบวิหารพระมงคลบพิตรที่ตั้งอยู่เรียงราย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่คณะกรรมการยูเนสโก หยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาและระบุไปจนถึงว่าอาจจะถูกถอดออกจากความเป็นเมืองมรดกโลก ซึ่งในขณะนั้นมีการประชุมหารือกันหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นทางจังหวัด กรมศิลปากร เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และธนารักษ์พื้นที่จังหวัด และได้มีข้อตกลงร่วมกันว่าให้ปรับปรุงพื้นที่บริเวณศาลากลางเก่า เพื่อทำเป็นจุดจอดรถและให้พ่อค้าแม่ค้า ที่อยู่โดยรอบวิหารพระมงคลบพิตรได้ใช้เป็นพื้นที่ขายของ เมื่อถึงวันย้ายจริงกลับมีเสียงต่อต้าน และมีการร้องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชะลอคำสั่งทางจังหวัดที่ให้ย้ายไปขายของในสถานที่ที่จัดไว้ให้ จนในที่สุดสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ชะลอการย้ายร้านค้าโดยรอบวิหารพระมงคลบพิตรออกไป กรณีดังกล่าวถือเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดการต่อต้านการปรับปรุงพื้นที่มรดกโลกในครั้งนี้ และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถจัดระเบียบที่เกิดขึ้นได้
ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวยอมรับว่า แม้จะมีข้อเสนอในการแก้ปัญหามากมาย แต่ต้องยอมรับว่างบประมาณ 200 - 300 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างน้อยการแก้ปัญหาภาพรวมของอุทยานฯ จะต้องใช้งบประมาณอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางช่วยเหลือคณะกรรมการที่กำกับดูแล ในการจัดระเบียบพื้นที่เมืองมรดกโลกของพระนครศรีอยุธยาด้วย เพราะเมื่อเกิดปัญหาในการจัดระเบียบทุกครั้งจะต้องเป็นผู้แก้ปัญหาเพียงลำพัง
