ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีที่ นายสุว้ตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวกอีก 8 คน ฟ้องนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา เป็นมรดกโลก โดยผู้ฟ้องเห็นว่า คำแถลงการณ์ดังกล่าวมีสถานะเปรียบได้กับหนังสือสัญญา เนื่องจากกระทบต่อกาเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่กำหนดให้นำหนังสือสัญญาขึ้นหารือในรัฐสภา โดยนายนพดล ไม่ได้นำแถลงการณ์ เข้าหารือในรัฐสภา
ศาลปกครองกลาง เห็นว่า คำแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญา และมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 มิถุนายน 2551 ตามที่ผู้ฟ้องร้องขอ ซึ่งมติดังกล่าว ให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่จัดทำขึ้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ศาลปกครองยังสั่งคุ้มครองชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
นายนิติธร กล่าวว่า จะจัดส่งคำพิพากษาศาลปกครองไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความผิดของนายนพดล ในขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยนายนพดลสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายใน 30 วัน
ศาลปกครองกลาง เห็นว่า คำแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญา และมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 มิถุนายน 2551 ตามที่ผู้ฟ้องร้องขอ ซึ่งมติดังกล่าว ให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่จัดทำขึ้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ศาลปกครองยังสั่งคุ้มครองชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
นายนิติธร กล่าวว่า จะจัดส่งคำพิพากษาศาลปกครองไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความผิดของนายนพดล ในขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยนายนพดลสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายใน 30 วัน
