ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ทำการสำรวจประชาชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1,416 คน ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ในหัวข้อ "รัฐบาลกับการพยุงหนี้นอกระบบ" พบว่า คนกรุงเทพฯและปริมณฑลร้อยละ 79 เห็นด้วยกับโครงการพยุงหนี้นอกระบบของรัฐบาล แม้ส่วนใหญ่จะเห็นว่า การรู้จักวางแผนใช้จ่ายอย่างเหมาะสมไม่ฟุ่มเฟือย เป็นทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้เป็นหนี้ร้อยละ 28.7 เคยถูกติดตามทวงหนี้ ด้วยวิธีการที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
สำหรับความเห็นต่อโครงการพยุงหนี้นอกระบบของรัฐบาลที่เปิดให้ประชาชนผู้เป็นหนี้นอกระบบสามารถกู้เงินจากรัฐบาล เพื่อนำไปชำระหนี้แล้วผ่อนชำระกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อคน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยร้อยละ 79 โดยให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้ผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และลดปัญหาการถูกทวงหนี้ด้วยวิธีรุนแรง และไม่เห็นด้วยร้อยละ 21 เนื่องจากเป็นหนี้ส่วนบุคคลก่อขึ้นมาเอง เชื่อว่า แก้ปัญหาหนี้สินไม่ได้ และเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
ส่วนทางออกหรือแนวทางในการแก้ปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบของคนไทยที่ดีที่สุด คือ ร้อยละ 51.2 ระบุว่า การรู้จักวางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือย ร้อยละ 28.1 ภาครัฐควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น และร้อยละ 16.6 ระบุว่า สถาบันการเงิน เช่น ธนาคารควรกำหนดหลักเกณฑ์การกู้ให้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้สินในปัจจุบันกับผู้ที่ไม่มีภาระหนี้สิน ปรากฏว่า ร้อยละ 54.4 มีภาระหนี้สิน และร้อยละ 45.6 ไม่มีภาระหนี้สิน โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ในระบบอย่างเดียว ร้อยละ 29.2 หนี้นอกระบบอย่างเดียว ร้อยละ 13.6 และเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบร้อยละ 11.6 ส่วนประสบการณ์ที่ผู้ตอบ หรือคนใกล้ชิดเคยถูกติดตามทวงหนี้ด้วยวิธีที่ทำให้เดือดร้อน อับอาย หรือเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ระบุว่าไม่เคย ร้อยละ 71.3 เคย ร้อยละ 28.7 ผู้ที่เคยตามทวงหนี้ วิธีการที่พบ คือ ใช้คำพูดหยาบคาย ร้อยละ 14.4ข่มขู่/กรรโชก ร้อยละ 6.9 เปิดเผยข้อมูล ประจานให้อับอาย ร้อยละ 3.6 ส่งคนติดตาม ร้อยละ 2.3 และทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน ร้อยละ 1.5
สำหรับความเห็นต่อโครงการพยุงหนี้นอกระบบของรัฐบาลที่เปิดให้ประชาชนผู้เป็นหนี้นอกระบบสามารถกู้เงินจากรัฐบาล เพื่อนำไปชำระหนี้แล้วผ่อนชำระกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อคน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยร้อยละ 79 โดยให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้ผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และลดปัญหาการถูกทวงหนี้ด้วยวิธีรุนแรง และไม่เห็นด้วยร้อยละ 21 เนื่องจากเป็นหนี้ส่วนบุคคลก่อขึ้นมาเอง เชื่อว่า แก้ปัญหาหนี้สินไม่ได้ และเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
ส่วนทางออกหรือแนวทางในการแก้ปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบของคนไทยที่ดีที่สุด คือ ร้อยละ 51.2 ระบุว่า การรู้จักวางแผนการใช้จ่ายให้เหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือย ร้อยละ 28.1 ภาครัฐควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น และร้อยละ 16.6 ระบุว่า สถาบันการเงิน เช่น ธนาคารควรกำหนดหลักเกณฑ์การกู้ให้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้สินในปัจจุบันกับผู้ที่ไม่มีภาระหนี้สิน ปรากฏว่า ร้อยละ 54.4 มีภาระหนี้สิน และร้อยละ 45.6 ไม่มีภาระหนี้สิน โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ในระบบอย่างเดียว ร้อยละ 29.2 หนี้นอกระบบอย่างเดียว ร้อยละ 13.6 และเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบร้อยละ 11.6 ส่วนประสบการณ์ที่ผู้ตอบ หรือคนใกล้ชิดเคยถูกติดตามทวงหนี้ด้วยวิธีที่ทำให้เดือดร้อน อับอาย หรือเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ระบุว่าไม่เคย ร้อยละ 71.3 เคย ร้อยละ 28.7 ผู้ที่เคยตามทวงหนี้ วิธีการที่พบ คือ ใช้คำพูดหยาบคาย ร้อยละ 14.4ข่มขู่/กรรโชก ร้อยละ 6.9 เปิดเผยข้อมูล ประจานให้อับอาย ร้อยละ 3.6 ส่งคนติดตาม ร้อยละ 2.3 และทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน ร้อยละ 1.5
