นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์ตำแหน่งตลาดสินค้าเกษตรของไทย ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมของปี 2552 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอาเซียน 41,315 ล้านบาท โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่าการส่งออก 73,627 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 43.9 คิดเป็นสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 16.2 ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดส่งออกหลักของไทยอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้การบริโภคชะลอตัว และมีกำลังซื้อที่ลดลงตามมา
ทั้งนี้ มูลค่าโดยรวมที่ไทยต้องเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าเกษตร โดยเฉลี่ยใน 5 ปี (2553-2558) เป็นเงินมูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,040 ล้านบาท โดยแยกเป็นข้าวร้อยละ 0.5 มูลค่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น้ำมันปาล์มร้อยละ 2.6 มูลค่า 46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กาแฟ ลบร้อยละ 0.1 หรือมูลค่า 0.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยกเว้นมันสำปะหลังที่ไทยยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่า 5 พันเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ไทยยังคงต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังให้ได้ปริมาณต่อไร่เพิ่มขึ้น และลดต้นทุนการผลิตต่อไร่ลงด้วย
นายอัทธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยอย่างจริงจัง ทั้งการกำหนดงบประมาณ ขั้นตอนและระยะเวลา พร้อมตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างจุดเด่นของข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของน้ำมันปาล์มนั้น จะต้องเร่งรักษาและพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งส่งเสริมการรวมตัวกันระหว่างสวนปาล์มและโรงงานแปรรูป เพื่อสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบ การผลิตและราคา ขณะที่เมล็ดกาแฟ ควรขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม และสร้างความแตกต่างของกาแฟไทยให้มีเอกลักษณ์ทั้งกลิ่นและรสชาติไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ มูลค่าโดยรวมที่ไทยต้องเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าเกษตร โดยเฉลี่ยใน 5 ปี (2553-2558) เป็นเงินมูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,040 ล้านบาท โดยแยกเป็นข้าวร้อยละ 0.5 มูลค่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น้ำมันปาล์มร้อยละ 2.6 มูลค่า 46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กาแฟ ลบร้อยละ 0.1 หรือมูลค่า 0.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยกเว้นมันสำปะหลังที่ไทยยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่า 5 พันเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ไทยยังคงต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังให้ได้ปริมาณต่อไร่เพิ่มขึ้น และลดต้นทุนการผลิตต่อไร่ลงด้วย
นายอัทธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยอย่างจริงจัง ทั้งการกำหนดงบประมาณ ขั้นตอนและระยะเวลา พร้อมตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างจุดเด่นของข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของน้ำมันปาล์มนั้น จะต้องเร่งรักษาและพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งส่งเสริมการรวมตัวกันระหว่างสวนปาล์มและโรงงานแปรรูป เพื่อสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบ การผลิตและราคา ขณะที่เมล็ดกาแฟ ควรขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม และสร้างความแตกต่างของกาแฟไทยให้มีเอกลักษณ์ทั้งกลิ่นและรสชาติไปพร้อมกัน
