นายฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์ใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคและผู้ให้บริการ โดยจะนำหลักทางวิชาการและมาตรฐานสากลของประเทศอื่นมาพิจารณาประกอบ เนื่องจากที่ผ่านมา พบปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม เช่น การให้ธนาคารบังคับลูกค้าทำบัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็ม เนื่องจากมีค่าบริการที่แพงกว่า ขณะที่จำนวนการใช้บัตรเดบิตมีน้อยมาก หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการกดเอทีเอ็มต่างธนาคารในต่างจังหวัด เป็นต้น
นายฉิม กล่าวว่า ธปท.กำลังแก้ปัญหาในส่วนนี้ โดยจะพยายามให้มีการใช้บัตรสมาร์ทเครดิต เพื่อลดการใช้เช็กในการโอนเงิน แต่จะต้องมีการแก้ไขข้อจำกัดบางประการ เช่น การโอนเงินไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อรายการต่อผู้โอนต่อวัน ซึ่งคาดว่า การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งระบบจะเริ่มได้ปีหน้า โดย ธปท.ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการลดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ต้องการสร้างระบบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการเพื่อชี้แจงและรับฟังความคิดเห็น เกี่ยวกับมาตรฐานกลาง ข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับผู้ประกอบการ เพื่อที่จะให้ระบบการชำระเงินเป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน โดยจะประกาศมาตรฐานกลางในปลายปีนี้ และจะให้ผู้ประกอบการทั้งหมด ทยอยปรับระบบการชำระเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในปี 2553 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและปริมาณการใช้เช็คให้ลดลง จากปัจจุบันใช้เช็ก 200,000 ฉบับต่อวัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายฉิม กล่าวว่า ธปท.กำลังแก้ปัญหาในส่วนนี้ โดยจะพยายามให้มีการใช้บัตรสมาร์ทเครดิต เพื่อลดการใช้เช็กในการโอนเงิน แต่จะต้องมีการแก้ไขข้อจำกัดบางประการ เช่น การโอนเงินไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อรายการต่อผู้โอนต่อวัน ซึ่งคาดว่า การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งระบบจะเริ่มได้ปีหน้า โดย ธปท.ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการลดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ต้องการสร้างระบบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการเพื่อชี้แจงและรับฟังความคิดเห็น เกี่ยวกับมาตรฐานกลาง ข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับผู้ประกอบการ เพื่อที่จะให้ระบบการชำระเงินเป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน โดยจะประกาศมาตรฐานกลางในปลายปีนี้ และจะให้ผู้ประกอบการทั้งหมด ทยอยปรับระบบการชำระเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในปี 2553 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและปริมาณการใช้เช็คให้ลดลง จากปัจจุบันใช้เช็ก 200,000 ฉบับต่อวัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
