พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ดีเอสไอ โดยสำนักคดีการเงินการธนาคาร ได้ทำการสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ หรือปั่นหุ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เมื่อวานนี้ (3 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจึงได้ร่วมกันทำการจับกุมตัวนายปยุฒ อนันตสิทธิกุล อายุ 34 ปี ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนให้มีการฝ่าฝืนข้อห้ามในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยอำพรางให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าหุ้นของบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ในช่วงเกิดเหตุมีการซื้อขายกันจำนวนมาก อันทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์ไม่ตรงกับสภาพปกติของตลาด ที่ปกติจะซื้อขายกันประมาณกว่า 10,000 หุ้น แต่เปลี่ยนไปซื้อขายกันประมาณ 1.3 ล้านหุ้น และราคาซื้อขายก็เปลี่ยนไป แสดงให้เห็นความผิดปกติมีนัยสำคัญ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของผลประโยชน์ที่บุคคลนั้น ๆ ได้รับไว้ หรือพึงจะได้รับ ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 - วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 โดยผู้ต้องหาเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีส่วนรู้เห็นหรือตกลงกับบุคคลอื่นส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการฟอกหนัง ในลักษณะอำพรางให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้นของบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีการซื้อขายกัน และราคาของหุ้นได้เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีการซื้อขายกันในลักษณะต่อเนื่อง ไม่ตรงกับสภาพปกติของตลาด ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่า 33 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 - วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 โดยผู้ต้องหาเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีส่วนรู้เห็นหรือตกลงกับบุคคลอื่นส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการฟอกหนัง ในลักษณะอำพรางให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้นของบริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีการซื้อขายกัน และราคาของหุ้นได้เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีการซื้อขายกันในลักษณะต่อเนื่อง ไม่ตรงกับสภาพปกติของตลาด ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่า 33 ล้านบาท