กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดสัมมนาเรื่อง "ความร่วมมือในการดำเนินการยุติความรุนแรงในครอบครัว ก้าวต่อไปของนวัตกรรมใหม่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550" เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนกฎหมายให้เกิดผลบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนายธีระวุฒิ อรุณเวช ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม พม. เป็นประธานเปิดการสัมมนา และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ปฏิบัติงานในสาขาสหวิชาชีพ ประมาณ 50 คน เข้าร่วมรับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นายธีระวุฒิ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่เป็นสถาบันที่มีคุณค่า แต่ยังพบปัญหาความรุนแรงในสังคมมากขึ้นโดยกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 เป็นความหวังที่จะทำให้ปัญหาการกระทำความรุนแรงลดลง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคีทุกภาคส่วน ทั้งด้านการใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การบำบัดฟื้นฟู และการป้องกันเฝ้าระวังในชุมชน เพื่อทำให้กฎหมายเกิดผลบังคับใช้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
นอกจากนั้น มีการเสวนาวิชาการเรื่อง "การเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนผ่าน MOU ยุติความรุนแรงในครอบครัว" โดยนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมเวที และกล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีความาสำคัญต่อคุณภาพชีวิตประชาชนมากที่สุดฉบับหนึ่ง แต่ยังไม่เป็นที่ตื่นตัวของสังคม เพราะไม่ได้กระทบต่อทรัพย์สินเงินทองโดยตรง หรือให้คุณให้โทษกับอำนาจทางการเมือง หรือการบริหารประเทศ แต่ในกลุ่มคนทำงานที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เป็นปัญหาใหญ่ เพราะพฤติกรรมความรุนแรงเป็นปัญหาที่เป็นการกระทำที่มนุษย์ทำกันเอง หากสามารถบริหารจัดการได้จะนำความสุขสงบและคุณภาพชีวิตที่ดีมาสู่ชีวิตประชาชนได้ จากประสบการณ์ตรงยังพบพฤติกรรมความรุนแรงหลายรูปแบบ โดยเฉพาะที่กระทบกระเทือนจิตใจคนมากที่สุดคือ ความรุนแรงจากคนในครอบครัว เพราะเป็นการกระทำของคนที่รัก
นายจรัญ กล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้มี 18 มาตรา ตอนจัดทำคิดกันว่าเพียงพอแล้ว แต่ถึงวันนี้การทำงานหลายฝ่ายเห็นว่ามีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะไม่ได้ดึงความสนใจของผู้บริหารประเทศ และกลไกที่พยายามจัดตั้งก็ไม่ได้เต็มที่ สำนักงานกิจการสตรีฯที่เป็นเจ้าภาพ แม้จะพยายายามผลักดัน แต่เป็นหน่วยงานเล็ก การทำงานลำพังเป็นไปได้ยาก เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวยังเกิดให้เห็นอยู่ทั่วไปและทุกระดับชั้น ฉะนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการกฎหมายฉบับนี้มีผลสัมฤทธิ์มากขึ้น ควรจะปรับปรุง โดยอาจจะทำเป็นร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม
นายธีระวุฒิ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่เป็นสถาบันที่มีคุณค่า แต่ยังพบปัญหาความรุนแรงในสังคมมากขึ้นโดยกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 เป็นความหวังที่จะทำให้ปัญหาการกระทำความรุนแรงลดลง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคีทุกภาคส่วน ทั้งด้านการใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การบำบัดฟื้นฟู และการป้องกันเฝ้าระวังในชุมชน เพื่อทำให้กฎหมายเกิดผลบังคับใช้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
นอกจากนั้น มีการเสวนาวิชาการเรื่อง "การเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนผ่าน MOU ยุติความรุนแรงในครอบครัว" โดยนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมเวที และกล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีความาสำคัญต่อคุณภาพชีวิตประชาชนมากที่สุดฉบับหนึ่ง แต่ยังไม่เป็นที่ตื่นตัวของสังคม เพราะไม่ได้กระทบต่อทรัพย์สินเงินทองโดยตรง หรือให้คุณให้โทษกับอำนาจทางการเมือง หรือการบริหารประเทศ แต่ในกลุ่มคนทำงานที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เป็นปัญหาใหญ่ เพราะพฤติกรรมความรุนแรงเป็นปัญหาที่เป็นการกระทำที่มนุษย์ทำกันเอง หากสามารถบริหารจัดการได้จะนำความสุขสงบและคุณภาพชีวิตที่ดีมาสู่ชีวิตประชาชนได้ จากประสบการณ์ตรงยังพบพฤติกรรมความรุนแรงหลายรูปแบบ โดยเฉพาะที่กระทบกระเทือนจิตใจคนมากที่สุดคือ ความรุนแรงจากคนในครอบครัว เพราะเป็นการกระทำของคนที่รัก
นายจรัญ กล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้มี 18 มาตรา ตอนจัดทำคิดกันว่าเพียงพอแล้ว แต่ถึงวันนี้การทำงานหลายฝ่ายเห็นว่ามีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะไม่ได้ดึงความสนใจของผู้บริหารประเทศ และกลไกที่พยายามจัดตั้งก็ไม่ได้เต็มที่ สำนักงานกิจการสตรีฯที่เป็นเจ้าภาพ แม้จะพยายายามผลักดัน แต่เป็นหน่วยงานเล็ก การทำงานลำพังเป็นไปได้ยาก เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวยังเกิดให้เห็นอยู่ทั่วไปและทุกระดับชั้น ฉะนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการกฎหมายฉบับนี้มีผลสัมฤทธิ์มากขึ้น ควรจะปรับปรุง โดยอาจจะทำเป็นร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม
