น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีที่ นางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล อายุ 42 ปี ชาว กทม. ได้ร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ว่า นายพีรวีร์ ดวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นหลานชาย ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เนื่องจากได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมามิเวียร์ช้า โดยผู้เสียชีวิตรายนี้ป่วยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552 ญาติพาไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเกรงว่าจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพราะมีบุคคลในบ้านป่วยอยู่ 1 คน แต่กลับได้รับการดูแลรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดา นอนอยู่ 3 วันไม่ได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และแพทย์ให้กลับบ้าน เสียค่ารักษา 30,000 บาท เมื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน แห่งที่ 2 ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน นอนอยู่ 9 คืน เสียค่ารักษา 300,000 บาท โดยได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมามิเวียร์ ประมาณวันที่ 3-4 โดยทางโรงพยาบาลบอกว่าหาเชื้อยังไม่เจอ และไม่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อาการของผู้เสียชีวิตหนักมาก จึงย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอนในห้องไอ.ซี.ยู. 28 วัน ก็เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท โดยไม่ติดใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แต่ติดใจโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 และ 2 ที่ให้ยาต้านไวรัสช้า
อย่างไรก็ตาม นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้กองการประกอบโรคศิลปะ ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวที่โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา โดยจะขอรายละเอียดการดูแลรักษาผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งดูมาตรฐานของโรงพยาบาลทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ และสถานที่ด้วยว่าเป็นไปตามข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือไม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย คาดว่าจะทราบผลในอีก 5 วัน
อย่างไรก็ตาม นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้กองการประกอบโรคศิลปะ ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวที่โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา โดยจะขอรายละเอียดการดูแลรักษาผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งดูมาตรฐานของโรงพยาบาลทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ และสถานที่ด้วยว่าเป็นไปตามข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือไม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย คาดว่าจะทราบผลในอีก 5 วัน