การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้พิจารณางบประมาณในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จำนวน 1,443,555,800 บาท โดยกรรมาธิการฯ จากฝ่ายค้านและรัฐบาลได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของไอซีที ด้านการดำเนินการปิดเว็บไซต์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งยังเป็นไปด้วยความล่าช้า ส่วนกรรมาธิการซีกฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทย แสดงความไม่เห็นด้วยกับไอซีที ในการสั่งตัดสัญญาณดาวเทียมไทยคมที่ถ่ายทอดสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่น ในช่วงเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ด้านนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า กระทรวงไอซีทีได้ดำเนินการมาตลอด ซึ่งปัจจุบันสามารถปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้ว จำนวน 8,500 เว็บไซต์ รวมไปถึงเว็บไซต์ที่ขัดต่อศีลธรรม มีการปิดไปแล้ว 7,400 เว็บไซต์ และเว็บไซต์ที่เปิดให้เล่นการพนันอีกจำนวน 70-72 เว็บไซต์
ปลัดกระทรวงไอซีที ยังกล่าวถึงการปิดสถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่นว่า เป็นการดำเนินการในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่พัทยา และ กทม. ซึ่งรัฐบาลติดต่อมายังตน เพื่อให้ดูว่าดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเห็นว่าดีสเตชั่นใช้แพร่ภาพผ่านทางดาวเทียมไทยคมที่รับสัมปทานจากไอซีที จึงขอความร่วมมือ เพราะเห็นว่ากระทบต่อความมั่นคง ส่วนเอเอสทีวีใช้ดาวเทียมจากต่างประเทศ ดังนั้น กระทรวงฯ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ การปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่ใช่ไอซีที แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการขอความร่วมมือเท่านั้น
ด้านนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า กระทรวงไอซีทีได้ดำเนินการมาตลอด ซึ่งปัจจุบันสามารถปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้ว จำนวน 8,500 เว็บไซต์ รวมไปถึงเว็บไซต์ที่ขัดต่อศีลธรรม มีการปิดไปแล้ว 7,400 เว็บไซต์ และเว็บไซต์ที่เปิดให้เล่นการพนันอีกจำนวน 70-72 เว็บไซต์
ปลัดกระทรวงไอซีที ยังกล่าวถึงการปิดสถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่นว่า เป็นการดำเนินการในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่พัทยา และ กทม. ซึ่งรัฐบาลติดต่อมายังตน เพื่อให้ดูว่าดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเห็นว่าดีสเตชั่นใช้แพร่ภาพผ่านทางดาวเทียมไทยคมที่รับสัมปทานจากไอซีที จึงขอความร่วมมือ เพราะเห็นว่ากระทบต่อความมั่นคง ส่วนเอเอสทีวีใช้ดาวเทียมจากต่างประเทศ ดังนั้น กระทรวงฯ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ การปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่ใช่ไอซีที แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการขอความร่วมมือเท่านั้น