หลังใช้เวลาอภิปรายพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพียงชั่วโมงเศษ ที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติไม่ให้ความเห็นชอบด้วยคะแนน 58 ต่อ 33 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง ซึ่งสาระสำคัญหลักของพระราชกำหนดฉบับนี้คือการขึ้นภาษีน้ำมัน
ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อสังเกตของวุฒิสภาต่อความจำเป็นในการขึ้นภาษีน้ำมัน โดยได้คำนวณและคาดการณ์ถึงภาวะราคาน้ำมันดิบที่เชื่อว่าจะส่งผลให้ประชาชนแบกรับภาระที่หนักเกินควร เมื่อเทียบกับตัวเลขในอดีต แต่ก็ยอมรับว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น และขณะนี้มีผลกระทบต่อประชาชน
เมื่อเทียบบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 184 ยังไม่มีผลให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป เนื่องจากการลงมติเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายฉบับนี้ไว้ ด้วยคะแนน 245 ต่อ 34 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง ซึ่งมีมติมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ จึงให้มีผลบังคับใช้ได้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป
ทั้งนี้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยืนยันว่า การพิจารณากฎหมายเป็นไปด้วยความเห็นที่ต่างกัน แต่ไม่ใช่การหักหน้ารัฐบาล
ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อสังเกตของวุฒิสภาต่อความจำเป็นในการขึ้นภาษีน้ำมัน โดยได้คำนวณและคาดการณ์ถึงภาวะราคาน้ำมันดิบที่เชื่อว่าจะส่งผลให้ประชาชนแบกรับภาระที่หนักเกินควร เมื่อเทียบกับตัวเลขในอดีต แต่ก็ยอมรับว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้น และขณะนี้มีผลกระทบต่อประชาชน
เมื่อเทียบบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 184 ยังไม่มีผลให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป เนื่องจากการลงมติเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายฉบับนี้ไว้ ด้วยคะแนน 245 ต่อ 34 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง ซึ่งมีมติมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ จึงให้มีผลบังคับใช้ได้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป
ทั้งนี้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยืนยันว่า การพิจารณากฎหมายเป็นไปด้วยความเห็นที่ต่างกัน แต่ไม่ใช่การหักหน้ารัฐบาล