อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้พลิกบทบาทไปเป็นนักรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน เตือนผู้นำภาคธุรกิจและการเมืองเมื่อวันอาทิตย์ (25) ว่าโลกไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วสำหรับการทำข้อตกลงในเรื่องการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
"ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องลงมือปฏิบัติ ... และต้องลงมือในปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า เข็มนาฬิกาเริ่มเดินแล้วเพราะธรรมชาติไม่มีแผนกอบกู้วิกฤตให้เรา" กอร์กล่าวในที่ประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจโลกว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
"เรามีทุกอย่างพร้อมแล้วหากต้องการรักษาอนาคตเอาไว้ ที่ขาดไปเพียงอย่างเดียวคือเจตนารมณ์ทางการเมือง" กอร์ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมพวกผู้นำวงการธุรกิจ นักวิชาการ และนักการเมือง เขายังเสริมอีกว่า "ชุมชนธุรกิจและผู้นำโลกจะต้องร่วมมือกันเพื่อพิทักษ์โลก"
การจัดประชุมสุดยอดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มความตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนหน้าการจัดประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปลายปีนี้ ซึ่งมีสหประชาชาติเป็นเจ้าภาพ และคาดหวังว่าสนธิสัญญาว่าด้วยภาวะโลกร้อนฉบับใหม่จะได้รับการรับรอง และใช้ทดแทนพิธีสารเกียวโตซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2012
"ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องลงมือปฏิบัติ ... และต้องลงมือในปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า เข็มนาฬิกาเริ่มเดินแล้วเพราะธรรมชาติไม่มีแผนกอบกู้วิกฤตให้เรา" กอร์กล่าวในที่ประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจโลกว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
"เรามีทุกอย่างพร้อมแล้วหากต้องการรักษาอนาคตเอาไว้ ที่ขาดไปเพียงอย่างเดียวคือเจตนารมณ์ทางการเมือง" กอร์ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมพวกผู้นำวงการธุรกิจ นักวิชาการ และนักการเมือง เขายังเสริมอีกว่า "ชุมชนธุรกิจและผู้นำโลกจะต้องร่วมมือกันเพื่อพิทักษ์โลก"
การจัดประชุมสุดยอดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มความตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนหน้าการจัดประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปลายปีนี้ ซึ่งมีสหประชาชาติเป็นเจ้าภาพ และคาดหวังว่าสนธิสัญญาว่าด้วยภาวะโลกร้อนฉบับใหม่จะได้รับการรับรอง และใช้ทดแทนพิธีสารเกียวโตซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2012