การประชุมร่วมรัฐสภาช่วงเย็นวันนี้ (14 พ.ค.) สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศ ตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 กันอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายค้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ เพราะเป็นการสร้างหนี้ในขณะที่ประเทศกำลังประสบภาวะวิกฤต และรัฐบาลไม่ตอบคำถามว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไรจากการกู้เงินในครั้งนี้ โดยเฉพาะแผนการกู้เงินรัฐบาลที่ส่งให้สมาชิกพิจารณาก็ไม่ได้บอกรายละเอียดในการจัดทำโครงการ และไม่มีแผนการใช้หนี้ที่ชัดเจน
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงความจำเป็นในการกู้ยืมเงิน โดยเห็นว่าในช่วงจังหวะเวลาที่ภาคเอกชนไม่มีความพร้อมในการลงทุน เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมของรัฐบาลในการเข้ามาลงทุนแทน ซึ่งการที่รัฐบาลต้องกู้เงินจากต่างประเทศ เนื่องจากเป็นเงินกู้ระยะยาวและดอกเบี้ยต่ำ มีความคุ้มค่ามากกว่าการกู้เงินในประเทศ โดยเฉพาะการนำมาดำเนินการใน 4 โครงการหลัก ซึ่งมีผลต่อสังคมในระยะยาวเช่นกัน
นายกรณ์ ยังชี้แจงถึงข้อกังวลของสมาชิกรัฐสภาที่รัฐบาลไม่ได้จัดทำแผนการใช้หนี้ให้ชัดเจนว่า เป็นเพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังขออนุมัติการดำเนินการกู้เงินจากรัฐสภาตามมาตรา 190 จึงไม่สามารถให้รายละเอียดเงินกู้และการจัดทำแผนการใช้หนี้ให้สมาชิกใช้ประกอบการพิจารณาได้ จนกว่าจะผ่านการพิจารณาของสมาชิกก่อน
หลังจากที่ใช้เวลาอภิปรายนานหลายชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศ ตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ด้วยคะแนน 285 ต่อ 49 คะแนน งดออกเสียง 19 คะแนน จากนั้นที่ประชุมยังให้ความเห็นชอบข้อเสนอผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทย ชุดที่ 7 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
ทั้งนี้ เวลา 19.00 น. ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเริ่มพิจารณาเรื่องความตกลงว่าด้วยการลงทุนภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งครอบคลุมด้านต่างๆ ระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสาธารณรัฐเกาหลี
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงความจำเป็นในการกู้ยืมเงิน โดยเห็นว่าในช่วงจังหวะเวลาที่ภาคเอกชนไม่มีความพร้อมในการลงทุน เป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมของรัฐบาลในการเข้ามาลงทุนแทน ซึ่งการที่รัฐบาลต้องกู้เงินจากต่างประเทศ เนื่องจากเป็นเงินกู้ระยะยาวและดอกเบี้ยต่ำ มีความคุ้มค่ามากกว่าการกู้เงินในประเทศ โดยเฉพาะการนำมาดำเนินการใน 4 โครงการหลัก ซึ่งมีผลต่อสังคมในระยะยาวเช่นกัน
นายกรณ์ ยังชี้แจงถึงข้อกังวลของสมาชิกรัฐสภาที่รัฐบาลไม่ได้จัดทำแผนการใช้หนี้ให้ชัดเจนว่า เป็นเพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังขออนุมัติการดำเนินการกู้เงินจากรัฐสภาตามมาตรา 190 จึงไม่สามารถให้รายละเอียดเงินกู้และการจัดทำแผนการใช้หนี้ให้สมาชิกใช้ประกอบการพิจารณาได้ จนกว่าจะผ่านการพิจารณาของสมาชิกก่อน
หลังจากที่ใช้เวลาอภิปรายนานหลายชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศ ตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ด้วยคะแนน 285 ต่อ 49 คะแนน งดออกเสียง 19 คะแนน จากนั้นที่ประชุมยังให้ความเห็นชอบข้อเสนอผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทย ชุดที่ 7 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
ทั้งนี้ เวลา 19.00 น. ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเริ่มพิจารณาเรื่องความตกลงว่าด้วยการลงทุนภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งครอบคลุมด้านต่างๆ ระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสาธารณรัฐเกาหลี