พ.ต.ท.จงรักษ์ พิมพ์ทอง สารวัตรเวรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองกระบี่ ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้เรือโดยสาร จำนวน 2 ลำ ที่จอดอยู่ที่บริเวณท่าเทียบเรือคงคา เขตเทศบาลเมืองกระบี่ จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิกระบี่พิทักษ์ประชา เจ้าหน้าที่ชุดดับเพลิง องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ เทศบาลเมืองกระบี่ นำรถดับเพลิง จำนวน 3 คัน เข้าทำการสกัดเพลิง แต่ไม่สามารถสกัดเพลิงไว้ได้ทัน เนื่องจากเรือทั้ง 2 ลำจอดอยู่ห่างจากท่าเทียบเรือ รถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปถึง ต้องลากสายฉีดน้ำเข้าไปด้วยความยากลำบาก ประกอบกับ ตัวเรือทำจากไม้ทำให้เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็วจนวอดทั้งสองลำ เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่เรือทั้งสองลำก็ถูกเพลิงไหม้จนเป็นเถ้าถ่านก่อนจมลงในทะเล
จากการสอบสวนทราบว่า เรือโดยสารทั้ง 2 ลำ เป็นของนายนพดล ทองเกิด อายุ 52 ปี เจ้าของ บริษัทพีพีแฟมิลี่ จำกัด วิ่งโดยสารระหว่างกระบี่-ไปยังเกาะพีพี โดยลำแรกชื่อ เรือโกลเด้น บีช จุผู้โดยสารได้ 150 ที่นั่ง และลำที่สองชื่อพาราไดซ์ พริ้นเซส 2001 จุผู้โดยสาร 299 ที่นั่ง ก่อนเกิดเหตุ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเล่าว่า ได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง จึงได้ออกมาดูที่ท่าเรือพบเพลิงกำลังลุกไหม้จากส่วนท้ายของเรือโกลเด้น ก่อนลุกลามไปยังเรือพาราไดซ์ พริ้นเซส ซึ่งจอดอยู่ติดกัน
เบื้องต้นไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากคนเฝ้าเรือได้กระโดดลงน้ำไป ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ คาดว่ามาจากไฟฟ้าลัดวงจร ที่ห้องเครื่องยนต์ของเรือลำแรก ก่อนจะลุกลามไปยังลำที่สองซึ่งจอดเคียงกัน ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่วิทยาการเข้าทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ความเสียหายครั้งนี้ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
จากการสอบสวนทราบว่า เรือโดยสารทั้ง 2 ลำ เป็นของนายนพดล ทองเกิด อายุ 52 ปี เจ้าของ บริษัทพีพีแฟมิลี่ จำกัด วิ่งโดยสารระหว่างกระบี่-ไปยังเกาะพีพี โดยลำแรกชื่อ เรือโกลเด้น บีช จุผู้โดยสารได้ 150 ที่นั่ง และลำที่สองชื่อพาราไดซ์ พริ้นเซส 2001 จุผู้โดยสาร 299 ที่นั่ง ก่อนเกิดเหตุ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเล่าว่า ได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง จึงได้ออกมาดูที่ท่าเรือพบเพลิงกำลังลุกไหม้จากส่วนท้ายของเรือโกลเด้น ก่อนลุกลามไปยังเรือพาราไดซ์ พริ้นเซส ซึ่งจอดอยู่ติดกัน
เบื้องต้นไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากคนเฝ้าเรือได้กระโดดลงน้ำไป ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ คาดว่ามาจากไฟฟ้าลัดวงจร ที่ห้องเครื่องยนต์ของเรือลำแรก ก่อนจะลุกลามไปยังลำที่สองซึ่งจอดเคียงกัน ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่วิทยาการเข้าทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ความเสียหายครั้งนี้ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
