นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รักษาการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้สานต่อโครงการแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวไร่อ้อยในระยะที่ 2 ต่อเนื่องหลังจากเริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 และสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 กันยายน 2554
นายเอ็นนู กล่าวว่า โครงการในระยะที่ 2 ธ.ก.ส.ได้ปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ เช่น ขยายวงเงินให้กู้เพิ่มขึ้นจากปีละ 1,000 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็นเงิน 6,000 ล้านบาท โดยให้กู้รายละไม่เกิน 260,000 บาท คิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรร้อยละ 2 ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมจะชดเชยให้อีกร้อยละ 3 กำหนดชำระคืนใน 3 ปี ซึ่งการแก้ปัญหาให้ชาวไร่อ้อย เนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยมีปริมาณและคุณภาพลดลง แต่ในปีแรก มีเกษตรกรมากู้เพียง 900 ราย รวมเป็นวงเงิน 60 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับวงเงินที่เตรียมไว้ เพราะชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออก จึงไม่ค่อยทราบว่ามีโครงการนี้ อีกทั้ง ธ.ก.ส.ออกโครงการไปตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ทำให้เกษตรกรไม่ให้ความสนใจ แต่ปีนี้จะออกโครงการในช่วงฤดูแล้งพอดี และนำปัญหาที่ติดขัดจากปีแรกมาปรับปรุงใหม่ และปีนี้ขยายวัตถุประสงค์ครอบคลุมถึงการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำได้ครบวงจร เช่น ซื้ออุปกรณ์สูบน้ำ สร้างระบบส่งน้ำ หรือจัดทำระบบน้ำหยด จึงเชื่อว่าจะมีเกษตรกรชาวไร่มากู้เงินมากขึ้น
ทั้งนี้ เกษตรกรผู้กู้ ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรือใช้บุคคลค้ำประกัน รวมทั้งให้โรงงานน้ำตาลที่เป็นคู่สัญญาร่วมค้ำประกันด้วย ซึ่งแตกต่างจากโครงการระยะแรกที่ให้เกษตรกรกู้เงินโดยโรงงานน้ำตาลค้ำประกันเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเกษตรกรขาดความรับผิดชอบ ทำให้ภาระหนี้สินตกอยู่กับโรงงานน้ำตาลเพียงผู้เดียว ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส.กำลังพิจารณาแพ็กเกจให้กู้เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งขยายไปยังพืชชนิดอื่น ๆ ด้วย โดยจะยึดรูปแบบเดียวกันในการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ เพื่อจูงใจ แต่อาจต่างกันที่วงเงิน และเงื่อนไขการกู้ยืม คาดว่าจะสรุปและดำเนินการได้ทันหน้าแล้งปีนี้
นายเอ็นนู กล่าวว่า โครงการในระยะที่ 2 ธ.ก.ส.ได้ปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ เช่น ขยายวงเงินให้กู้เพิ่มขึ้นจากปีละ 1,000 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็นเงิน 6,000 ล้านบาท โดยให้กู้รายละไม่เกิน 260,000 บาท คิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรร้อยละ 2 ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมจะชดเชยให้อีกร้อยละ 3 กำหนดชำระคืนใน 3 ปี ซึ่งการแก้ปัญหาให้ชาวไร่อ้อย เนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยมีปริมาณและคุณภาพลดลง แต่ในปีแรก มีเกษตรกรมากู้เพียง 900 ราย รวมเป็นวงเงิน 60 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับวงเงินที่เตรียมไว้ เพราะชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออก จึงไม่ค่อยทราบว่ามีโครงการนี้ อีกทั้ง ธ.ก.ส.ออกโครงการไปตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ทำให้เกษตรกรไม่ให้ความสนใจ แต่ปีนี้จะออกโครงการในช่วงฤดูแล้งพอดี และนำปัญหาที่ติดขัดจากปีแรกมาปรับปรุงใหม่ และปีนี้ขยายวัตถุประสงค์ครอบคลุมถึงการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำได้ครบวงจร เช่น ซื้ออุปกรณ์สูบน้ำ สร้างระบบส่งน้ำ หรือจัดทำระบบน้ำหยด จึงเชื่อว่าจะมีเกษตรกรชาวไร่มากู้เงินมากขึ้น
ทั้งนี้ เกษตรกรผู้กู้ ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรือใช้บุคคลค้ำประกัน รวมทั้งให้โรงงานน้ำตาลที่เป็นคู่สัญญาร่วมค้ำประกันด้วย ซึ่งแตกต่างจากโครงการระยะแรกที่ให้เกษตรกรกู้เงินโดยโรงงานน้ำตาลค้ำประกันเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเกษตรกรขาดความรับผิดชอบ ทำให้ภาระหนี้สินตกอยู่กับโรงงานน้ำตาลเพียงผู้เดียว ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส.กำลังพิจารณาแพ็กเกจให้กู้เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งขยายไปยังพืชชนิดอื่น ๆ ด้วย โดยจะยึดรูปแบบเดียวกันในการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ เพื่อจูงใจ แต่อาจต่างกันที่วงเงิน และเงื่อนไขการกู้ยืม คาดว่าจะสรุปและดำเนินการได้ทันหน้าแล้งปีนี้
