สำหรับภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ วันนี้ เวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรีได้พบและให้นโยบายทีมประเทศไทยประจำอินโดนียเซีย ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน
โดยนายอภิสิทธิ์ ให้ความมั่นใจกับทีมประเทศไทยในอินโดนีเซีย ว่า ถึงแม้รัฐบาลจะเข้ามาในช่วงภาวะวิกฤตทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลสามารถนำพาประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้การดำเนินการต่างๆ จะต้องเป็นไปอย่างละเอียดอ่อน แต่บทพิสูจน์ที่ทำให้เห็นว่าประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่รัฐสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2552 และกรอบการเจรจาที่จะใช้ในการประชุมสุดยอดอาเซียน 41 ฉบับ และการประชุมสุดยอดอาเซียนก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้เพิ่มมากขึ้นว่า ประเทศไทยพร้อมกลับเข้าสู่การแข่งขันในเวทีต่างๆ ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ต่อไป โดยเน้นการปฏิรูปการเมือง
นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยติดลบถึงร้อยละ 26 ซึ่งจะต้องมีการกลับไปทบทวนตัวเลขทางเศรษฐกิจ และตลอดทั้งปีนี้ เศรษฐกิจของไทยจะหดตัว แต่รัฐบาลก็จะเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ เช่น นโยบายแจกเงิน 2,000 บาท และมาตรการอื่นๆ ด้วย เช่น การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ และการขอกู้เงินจากต่างประเทศ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยากับผู้ช่วยทูตทหารว่า ทางอินโดนีเซียมีความเห็นอย่างไร ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารระบุว่า ทางอินโดนีเซียไม่เคยพูดพาดพิงถึงประเทศไทย และการดูแลชาวโรฮิงยาของอินโดนีเซียก็ทำเหมือนกับประเทศไทย
โดยนายอภิสิทธิ์ ให้ความมั่นใจกับทีมประเทศไทยในอินโดนีเซีย ว่า ถึงแม้รัฐบาลจะเข้ามาในช่วงภาวะวิกฤตทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลสามารถนำพาประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้การดำเนินการต่างๆ จะต้องเป็นไปอย่างละเอียดอ่อน แต่บทพิสูจน์ที่ทำให้เห็นว่าประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่รัฐสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2552 และกรอบการเจรจาที่จะใช้ในการประชุมสุดยอดอาเซียน 41 ฉบับ และการประชุมสุดยอดอาเซียนก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้เพิ่มมากขึ้นว่า ประเทศไทยพร้อมกลับเข้าสู่การแข่งขันในเวทีต่างๆ ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ต่อไป โดยเน้นการปฏิรูปการเมือง
นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยติดลบถึงร้อยละ 26 ซึ่งจะต้องมีการกลับไปทบทวนตัวเลขทางเศรษฐกิจ และตลอดทั้งปีนี้ เศรษฐกิจของไทยจะหดตัว แต่รัฐบาลก็จะเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ เช่น นโยบายแจกเงิน 2,000 บาท และมาตรการอื่นๆ ด้วย เช่น การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ และการขอกู้เงินจากต่างประเทศ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยากับผู้ช่วยทูตทหารว่า ทางอินโดนีเซียมีความเห็นอย่างไร ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารระบุว่า ทางอินโดนีเซียไม่เคยพูดพาดพิงถึงประเทศไทย และการดูแลชาวโรฮิงยาของอินโดนีเซียก็ทำเหมือนกับประเทศไทย