นักสิทธิฯ จี้อาเซียนแก้ปัญหาผู้อพยพ ยุติการกดขี่ข่มเหง

เครือข่ายภาคประชาชน มองเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันว่า การสร้างเขื่อนเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้พลังงานเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากว่า โครงข่ายการใช้ไฟฟ้าในอาเซียนยังมีความเลื่อมล้ำ มีทั้งผู้ที่ได้รับและผู้เสียผลประโยชน์ เช่น การสร้างเขื่อนในประเทศต้นน้ำ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศท้ายน้ำ ซึ่งแผนพัฒนาเหล่านี้ เน้นตอบสนองเฉพาะตลาดแรงงาน แต่ก็ขาดการวางแผนรองรับผลกระทบเชิงสังคม จึงต้องการเห็นผู้นำจากทุกประเทศให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ขณะที่นายสวาท อุปฮาด นักสิทธิมนุษยชนจากกัมพูชา ระบุว่า ชนเผ่าโรฮิงยา ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากพม่านั้น เป็นประเด็นเร่งด่วนความมั่นคงของมนุษย์ สำหรับอาเซียน โดยเรียกร้องให้กลุ่มประเทศอาเซียนร่วมกันกดดันให้รัฐบาลทหารพม่า หรือสภาเพื่อการพัฒนาและสันติภาพ หยุดการกดขี่ข่มเหง และบริหารจัดการทางเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนนับล้านคนต้องอพยพไปอาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันประเทศสมาชิกอาเซียนก็ต้องสร้างหลักประกันว่า ผู้ลี้ภัย และแรงงานข้ามชาติจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ไม่ปฏิบัติต่อผู้ใช้แรงงานพม่าเสมือนสินค้า
ด้านเครือข่ายสมัชชาคนจนที่เข้าร่วมประชุมก็เรียกร้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศรับฟังเสียงจากเวทีภาคประชาชนมากกว่านี้ เพราะเห็นว่า ปัญหาเรื่องปากท้องคนในภูมิภาคเกิดจากนโยบายที่กำหนดโดยรัฐเพื่อผู้มีอำนาจและนายทุน โดยคนยากจนขาดโอกาสในการมีส่วนร่วม ทั้งข้อตกลงเรื่องการค้าระหว่างประเทศ พลังงาน และความมั่นคง ทำให้กระทบสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร