ว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ แสดงสุนทรพจน์ด้านนโยบายเศรษฐกิจครั้งสำคัญเมื่อวันพฤหัสบดี(8) โดยเสนอมาตรการลดภาษีและการลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อดึงให้อเมริกาพ้นไปจากหายนะทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ทางด้านรัฐสภากลับมีปฏิกิริยาต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของเขาแบบไม่ค่อยเชื่อใจนัก
"ผมไม่เชื่อว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขเส้นทางเดิน แต่ถ้าเรายังไม่ลงมือทำอะไรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันก็อาจจะสายไปก็ได้" โอบามากล่าวในสุนทรพจน์แสดงนโยบายสำคัญครั้งแรกนับตั้งแต่เขาชนะการเลือกตั้งมา
"หากว่าเราไม่ทำอะไร ภาวะถดถอยคราวนี้อาจจะยืดเยื้อไปนานหลายปี" เขากล่าว ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นความพยายามที่จะชักจูงให้ทั้งสองสภาเห็นด้วยกับเขา และเร่งผ่านกฏหมายกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่าอย่างน้อย 775,000 ล้านดอลลาร์ออกมา เพื่อให้เขาเริ่มงานได้ทันทีที่หลังสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 นี้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการร่วมประชุมกับพวกที่ปรึกษาของโอบามาในวันเดียวกันนี้แล้ว เหล่าวุฒิสมาชิกเดโมแครตระดับนำ ได้แสดงความสงสัยอย่างเปิดเผยว่า มาตรการลดภาษี 300 ล้านดอลลาร์ซึ่งรวมรวมอยู่ในแผนการของโอบามาคราวนี้ด้วย จะสามารถกระตุ้นการเติบโตและสร้างงานได้จริงหรือ
ทางด้านสมาชิกรัฐสภาฝ่ายพรรครีพับลิกันก็ติติงมูลค่าอันสูงลิ่วของแผนการนี้ โดยแสดงความวิตกว่า จะยิ่งเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในปีนี้ก็คาดกันอยู่แล้วว่าจะต้องขาดดุลมหาศาลถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์อยู่แล้ว
"ผมไม่เชื่อว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขเส้นทางเดิน แต่ถ้าเรายังไม่ลงมือทำอะไรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันก็อาจจะสายไปก็ได้" โอบามากล่าวในสุนทรพจน์แสดงนโยบายสำคัญครั้งแรกนับตั้งแต่เขาชนะการเลือกตั้งมา
"หากว่าเราไม่ทำอะไร ภาวะถดถอยคราวนี้อาจจะยืดเยื้อไปนานหลายปี" เขากล่าว ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นความพยายามที่จะชักจูงให้ทั้งสองสภาเห็นด้วยกับเขา และเร่งผ่านกฏหมายกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่าอย่างน้อย 775,000 ล้านดอลลาร์ออกมา เพื่อให้เขาเริ่มงานได้ทันทีที่หลังสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 นี้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการร่วมประชุมกับพวกที่ปรึกษาของโอบามาในวันเดียวกันนี้แล้ว เหล่าวุฒิสมาชิกเดโมแครตระดับนำ ได้แสดงความสงสัยอย่างเปิดเผยว่า มาตรการลดภาษี 300 ล้านดอลลาร์ซึ่งรวมรวมอยู่ในแผนการของโอบามาคราวนี้ด้วย จะสามารถกระตุ้นการเติบโตและสร้างงานได้จริงหรือ
ทางด้านสมาชิกรัฐสภาฝ่ายพรรครีพับลิกันก็ติติงมูลค่าอันสูงลิ่วของแผนการนี้ โดยแสดงความวิตกว่า จะยิ่งเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในปีนี้ก็คาดกันอยู่แล้วว่าจะต้องขาดดุลมหาศาลถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์อยู่แล้ว
