จินดารัตน์- พี่น้องเอ๊ย พี่น้องเอ๊ย มาถึงช่วงสุดท้ายของรายการ แต่ก่อนที่จะเริ่มช่วงสุดท้ายขออนุญาตนิดหนึ่ง วันนี้พี่น้องมาในห้องส่งกันเยอะ ด้านนอกก็เยอะ เพราะว่าอยากได้รูปที่คุณสนธิเลือกด้วยตัวเอง มีลายเซ็นและปริ๊นซ์ด้วยตัวเองด้วย มี 36 ใบ ที่เหลือทั้งหมดใครเป็นผู้โชคร้ายจะได้ปฏิทินกับผ้าพันคอ ไปนะคะ ได้ข่าวว่ามีนั่งแท็กซี่มาจริงๆ นะคะ นั่งแท็กซี่มาเพื่อมาจับสลากเอารูป รายชื่อผู้โชคดีได้มาเรียบร้อยแล้วแต่จะอ่านตอนท้าย แต่มีคนเอาเงินมาบริจาคให้ บอกว่าจ่ายเงินเดือนพนักงานนะคะคุณสนธิ ให้ 3,000 บาท จากคุณวิมล เอี่ยมสะอาด แล้วไม่ประสงค์จะออกนาม อีก 1,000 บาท และพันธมิตรฯ จรัญ 66/1 ให้ ASTV 1,000 บาท ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอีก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท ขอบพระคุณนะคะ
พี่น้อง ตกลงว่าช่วงสุดท้ายรายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้เป็นวันพิเศษ พิเศษสุดๆ เพราะว่า เราจะเปลี่ยนชื่อช่วง เป็นช่วงกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้ พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ทางบ้านมีส่วนร่วม พ่อแม่พี่น้องเคยสงสัยเรื่องอะไรในตัวคุณสนธิ อยากรู้อะไรในตัวคุณสนธิ วันนี้ไม่อั้นค่ะพี่น้อง ส่งคำถามมาได้เลยนะคะ ที่หมายเลข 0-2629-4433 ส่งมาได้ทุกคำถาม แล้วน้องๆ ทีมงานจะช่วยกันรับโทรศัพท์แล้วส่งมาให้แอนอ่านในช่วงท้าย แต่พี่น้องวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายในการทำงานของแอนก็ได้ เพราะบางคำถามอาจจะโดนเตะโด่งออกจากบริษัทไปเลยก็ได้ ไม่หรอกค่ะ เราได้ทำสัญญากันไว้แล้ว ลงนาม คือรอวันนี้มานานเหมือนกันนะคะพ่อแม่พี่น้อง คือที่ผ่านมาถ้าได้คุยกับคุณสนธิเป็นการส่วนตัวจะกล้าๆ กลัวๆ ในการจะถามคำถาม แต่วันนี้ถามคำถามได้ แอนถามคุณสนธิก่อนแล้วถามได้ทุกคำถามใช่ไหม ได้เลยอยากถามอะไรถามมาเลย เมื่อสักครู่แอบไปดูตอนปริ๊นซ์รูป ไหนวันนี้จะถามอะไรฉันหรอ อู๊ยหนูบอกก็ไม่สนุกซิคะ ก็เลยจะต้องอุบกันเอาไว้ก่อน ถ้าบอกเดี๋ยวจะไปเตรียมคำตอบไว้ก่อน คุณสนธิชอบเรื่องท้าทาย พี่น้อง เป็นคนที่ชอบเรื่องเล็กๆ ไม่เรื่องใหญ่ๆ สนธิทำ สังเกตนะคะที่ผ่านมา พ่อแม่พี่น้องส่งคำถามมา อย่าลืม 0-2629-4433
เอาเป็นว่าแอนจะเริ่มจากรูปก่อนก็แล้วกัน นิดนึง แอนอยากให้พ่อแม่พี่น้องเห็นรูปที่ทำงานคุณสนธิ จะได้จิตนาการถูกว่า เมื่อไม่มีการชุมนุมคุณสนธินั่งทำงานอยู่ในสถานที่แบบไหน จะได้นึกออกเวลาแอนถามคำถามอะไรเกี่ยวกับการทำงาน เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หรือคิดอะไรคนเดียว นั่งอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ขอรูปที่ทำงาน ออฟฟิศคุณสนธิด้วยค่ะ มีหลายรูปนะคะ (รูปบ้านพระอาทิตย์) นี่คือภายนอกอาคารบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นออฟฟิศของหนังสือพิมพ์รายวันด้วย แล้วคุณสนธิจะอยู่ซีกหนึ่ง ร่มรื่น ฝรั่งใครมาอยากเข้ามาดูนักหนา บอกว่าเป็นโบราณสถานหรือเปล่า อยากเข้ามาดู บอกไม่ได้ไม่ได้นี่เป็นออฟฟิศคุณสนธิ แต่ช่วงที่เราชุมนุมกันจะมีตาข่ายมาขึง ฝรั่งจะถามว่า นี่สวนนกหรอ ขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม ได้เห็นกันไปแล้วว่าร่มรื่นขนาดไหน น่าอยู่แค่ไหน
พี่น้องขา แอนจะเริ่มจากในวัยเด็กก็แล้วกัน อยากจะรู้ว่า ด.ช.สนธิ เมื่อก่อนเป็นยังไง คุณสนธิขา
สนธิ- ไปไกลขนาดนั้นเลย
จินดารัตน์- จริงค่ะ ยังจำได้ใช่ไหมคะ
สนธิ- ได้ๆ
จินดารัตน์- ยังจำได้ เด็กๆ แอนได้ยินมาว่า คุณสนธิเป็นเด็กค่อนข้างเกเร เกเรในความหมายของเขาหมายถึงอะไรคะ
สนธิ- ผมเป็นคนรักเพื่อน ถ้าชกตีชกต่อยกันทีไรเรื่องเพื่อนทั้งนั้น
จินดารัตน์- เป็นแกนนำตั้งแต่เด็กเลยหรอคะ
สนธิ- เพื่อนถูกรังแก มีอยู่ครั้งหนึ่งหนีออกจากโรงเรียนประจำ โรงเรียนประจำพอ 21.00 น.ก็นอนแล้วใช่ไหม ทีนี้เพื่อนไปติดลูกสาวเจ้าของโป๊ะ อยู่ที่ อ.ศรีราชา ก็ชวนกันไปหาแฟน ก็ชวนผมแล้วอีกคนหนึ่งไป พอไปถึงแล้วปรากฏว่า ไปจีบลูกสาวโป๊ะเขาโดนตังเกมันเอามีดแทง
จินดารัตน์- แทงเพื่อนหรอคะ
สนธิ- แทงเพื่อน ผมเลยเอาหน้าอกรับมีดแทน ความรักเพื่อนสมัยหนุ่มๆ สมัยเด็กๆ
จินดารัตน์- ตอนนั้นอายุเท่าไหร่คะ
สนธิ- สิบกว่าเอง
จินดารัตน์- หลายคนหายสงสัยเลยค่ะ
สนธิ- แล้วเวลา คือที่อัสสัมชัญศรีราชาจะแบ่งเป็นแก๊ง ผมไม่มีแก๊งผมก็ไปของผมเรื่อยๆ ผมเป็นนักกีฬา ผมเล่นฟุตบอล เล่นรักบี้ ปีสุดท้ายผมเรียนจบผมติดรักบี้ทีมชาติ วชิราวุธนี่ผมแข่งนะ ผมแข่งมาแล้วที่วชิราวุธ แล้วก็เป็นทั้งนักวิ่ง ผมวิ่ง 200 เมตร ก็เป็นแชมป์ที่ 1 วิ่งเร็ว
จินดารัตน์- คือรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อนๆ
สนธิ- มันก็สูงตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเป็นคนสูงคุณแม่เป็นคนสูง ก็เลยสูง สูงชรูดตูดปอด
จินดารัตน์- เป็นคนอธิบายความได้ดีคะพี่น้อง อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเกเรนะคะคุณสนธิ
สนธิ- เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมารังแกใคร แล้วใครที่เบ่งก็เบ่งไปผมไม่สนใจ แต่ถ้าเริ่มรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผมจะเสนอหน้าเข้าไปเลย ตั้งแต่เด็กแล้ว
จินดารัตน์- แต่คุณสนธิจะไม่เคยรังแกใครก่อน
สนธิ- ผมไม่เคย เกิดมาผมไม่เคยรังแกใคร
จินดารัตน์- เรื่องชกต่อยส่วนใหญ่เกิดมาจากเพื่อนหรอคะ
สนธิ- เพื่อน เพื่อนโดนรังแก บางครั้งก็ต้องขอพูดหน่อย บางครั้งตัวเองก็อารมณ์ร้อน คือเด็กโรงเรียนประจำจะมีนิสัยอย่างให้จำไว้ อย่าทะเลาะเด็กโรงเรียนประจำ
จินดารัตน์- ทำไมคะ
สนธิ- มันชกก่อนพูดทีหลัง เป็นอะไรที่รุ่นพี่สอนเอาไว้
จินดารัตน์- ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นละคะ
สนธิ- เอากำไรก่อน พอใส่ตูมปั๊มล้มไปปั๊มต้องยืนคร่อมเลยนะ
จินดารัตน์- ประกาศชัยชนะก่อน
สนธิ- ไม่ แล้วคนจะมาแยก พอคนมาแยกก็กำไรไปแล้ว 1 ที แต่ถ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเอามึงเจอกูคืนนี้ หลังเลิกเรียนที่มุมตึก คราวนี้ก็แบ่งเป็นแก๊งแล้ว คราวนี้ก็แล้วแต่เล่ห์เหลี่ยมกันแล้ว
จินดารัตน์- ชกต่อยกันบ่อยไหมคะ
สนธิ- ก็พอสมควร แต่ว่าพวกที่ชกพวกที่ต่อยพอโตแล้วรักกัน พอชกกันเสร็จแล้วก็จับมือกัน กอดกัน ใช้กำปั้น เข่า แข้ง
จินดารัตน์- แสดงว่าคุณสนธิต้องเดินเข้าออกฝ่ายปกครองเป็นว่าเล่น
สนธิ- ที่โรงเรียนสัมเขามีระบบ เขาเรียก แบดโน้ต เขามี 9 8 7 9 นี่ทั่วๆ ไป แต่งตัวไม่เรียบร้อย 8 นี่เลวมามากหน่อย แต่งตัวไม่เรียบร้อย 2-3 ครั้ง โดนไป 9 2-3 ครั้งก็โดน 8 แต่ 7 นี่ขาข้างหนึ่งอยู่นอกโรงเรียนแล้ว ผมโดน 8 มา 3-4 ครั้ง 7 โดน 1 ครั้ง
จินดารัตน์- เกือบแล้ว
สนธิ- ที่เอาหน้าอกไปรับมีด โดนตีต่อหน้าหอประชุมเลย หอประชุมใหญ่
จินดารัตน์- เจ็บตัวแล้วยังโดนตีต่อหน้าหอประชุม
สนธิ- เพราะว่าหนีออกไปนอกโรงเรียน เด็กอัสสัมชันศรีราชาจะใส่กางเกงขาสั้น ตรงขาอ่อนจะว่าง ตอนแรกจะตีด้วยไม้หวาย หวายแช่น้ำ หวด 6 ครั้ง 6 ครั้งแนวก็ขึ้น
จินดารัตน์- ขาวนี่คะ
สนธิ- แนวขึ้นใช่ไหม แล้วห้องน้ำอัสสัมศรีราชา ห้องส้วมซึม 2 เดือนเวลาขี้ต้องเอาเพื่อนพยุง เพราะมันนั่งยองๆ ไม่ได้
จินดารัตน์- เพื่อนรักจริงๆ นะคะ
สนธิ- มันนั่งยองๆ ไม่ได้ ทำยังไงล่ะ
จินดารัตน์- เพื่อนต้องทนดมอึไปด้วย
สนธิ- ต้องทน ไม่รู้ยังไง
จินดารัตน์- เพื่อนรัก
สนธิ- เพื่อนรัก ทั้งหมด
จินดารัตน์- เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในโรงเรียนหรือเปล่าคะ
สนธิ- ไม่ใช่ เป็นกลุ่มอิสระ
จินดารัตน์- อ๋อ มีกลุ่มอิสระ
สนธิ- คือเราไม่เข้าแก๊งใคร แต่ใครอย่ามายุ่งกับกูแล้วกัน ในทำนองนี้
จินดารัตน์- ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่น เริ่มซ่าตั้งแต่
สนธิ- จะว่าซ่าก็ซ่า หรือจะเรียกว่า เฮ้ยอย่าไปยุ่งกับมัน เพราะถ้ามันชกแล้วมันไม่หยุด มันไม่กลัวไง
จินดารัตน์- อ๋อ ชื่อเสียงกระฉ่อนอย่างนั้นเลย
สนธิ- กระฉ่อน
จินดารัตน์- รุ่นพี่นี่ไม่สน
สนธิ- ไม่สนเลย
จินดารัตน์- ก็ต่างคนต่างอยู่ไป
สนธิ- ต่างอยู่ไป
จินดารัตน์- แต่คุณสนธิไม่เคยไปยุ่ง
สนธิ- ผมไม่ยุ่งใคร
จินดารัตน์- แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ คุณพ่อคุณแม่คุณสนธิล่ะคะ
สนธิ- พ่อผม อดีตเป็นพ่อเลี้ยงอยู่สุโขทัย เป็นพ่อเลี้ยงค้าไม้ ตัดไม้ในป่า สมัยก่อนพ่อมีช้างอยู่ร้อยกว่าเชือก มีรถลากซุง ได้สัมปทานป่าแล้วก็ตัดไม้ ตอนนั้นพ่อไปเป็นสายการเมือง สาย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ตัดไม้ พอคุณเผ่าโดนยึดอำนาจ จอมพลสฤษดิ์ขึ้น พ่อก็ล้มละลาย พอพ่อล้มละลายแม่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องเปิดร้านขายกาแฟ ขายของชำเลี้ยงลูก ผมก็เลยรู้ถึงความขมขื่นของการเป็นโชห่วย บ้านผมจะอยู่หน้าปากซอย ถนนสารภี
จินดารัตน์- ตอนที่บ้านลำบากคุณสนธิอายุเท่าไหร่
สนธิ- ผมประมาณ 11 แล้วมั้ง
จินดารัตน์- รู้เรื่องแล้ว
สนธิ- ตอนนั้นรู้เรื่อง จากสมัยก่อนพ่อรวยมาก สมัยก่อนขับรถยูโซโก้ พรีมัส แต่ผมให้แม่ผมเป็นสุดยอดคนที่มีคุณูปการกับชีวิตผม เพราะแม่เป็นลูกคนรวย แม่มาจากเมืองจีน ตาเป็นเจ้าของร้านขายนาฬิกา เอเย่นต์ใหญ่นาฬิกาโอเมก้า บริษัท ซีฮวด ถ้าคนโบราณจะรู้จัก ตามีเมียอยู่แล้ว คือยายผม อยู่ที่เมืองจีน แล้วมามีเมียใหม่ที่เมืองไทย แล้วเอายายมา อีท่าไหนไม่รู้ไปตียาย แม่ผมก็ไปด่าตา ด่าพ่อตัวเองว่าตีแม่ทำไม ตาก็เลยตัดขาดเลยลูกกับพ่อ วันแต่งงานกับพ่อผม พ่อผมเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เพราะปู่เป็นคนจีนย่าเป็นคนไทย
จินดารัตน์- เป็นคนสุโขทัยไช่ไหมคะ
สนธิ- เป็นคนสุโขทัย ตาไม่อยากให้คนจีนไปผสมพันธุ์กับคนเลือดอื่น ผมก็เลยมีเลือดนักสู้มาตั้งแต่แม่ แม่ต้องทน เพราะพ่อเป็นพ่อเลี้ยง เสร็จแล้วพอพ่อล้มละลายแม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ต้มน้ำขายกาแฟ แล้วโดนตำรวจรีดไถตั้งแต่ขายกาแฟ เฮ้ยเจ๊ ปลาท่องโก๋ ติดไว้ก่อนนะวันหลังมาให้ ติดมันไปเรื่อยๆ
จินดารัตน์- เป็นกันมาตั้งแต่ยุคนั้นเลย
สนธิ- เป็นตั้งแต่ยุคนั้นเลย แล้วแม่ผมเสร็จเรียบร้อยแล้วพอไปก็ด่าภาษาไหหลำ ผมยังจำแม่นเลย กุ๊ยบอติเงี๊ยะ(***)
จินดารัตน์- ไม่ถามคำแปลนะคะ
สนธิ- ไม่ต้องถามคำแปล แม่ผมจะเกลียดข้าราชการ จนกระทั่งน้องสาวผมคนโต น้องสาวผมคนโตจบพระหฤทัยคอนแวนต์ แล้วเข้าจุฬาฯ ได้ คณะเศรษฐศาสตร์ จบแล้วไปทำงานอยู่ที่สภาพัฒน์ เกิดไปชอบกับน้องเขยผม ซึ่งเป็นลูกนายพล ลูกนายพลเจ้ากรมการแพทย์ แม่ผมโกรธ
จินดารัตน์- ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น
สนธิ- เพราะท่านคนไทย ให้รู้ไว้ซะด้วย แม่ผมนุ่งกางเกงกุยเฮง รู้จักมั๊ยกางเกงกุยเฮง
จินดารัตน์- รู้ค่ะ
สนธิ- เดินขึ้นสภาพัฒน์ไปชี้หน้าด่า
จินดารัตน์- ใส่กางเกงกุยเฮงขึ้นสภาพัฒน์
สนธิ- ไปชี้หน้าด่าน้องเขยผม บอกเฮ้ยลื้ออย่ามาคบลูกคนจีนลื้อไปแต่งงานคนไทย อย่างนี้เลยจริงๆ
จินดารัตน์- แล้วตกลงก็ไม่ได้แต่งหรอคะ
สนธิ- เกือบจะไม่ได้แต่ง น้องสาวก็มาร้องไห้กับผมตอนนั้น ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยไปพูดกับแม่ พูดจนกระทั่งแม่ใจอ่อน แต่ใจอ่อนแบบยั๊วะ บอกได้ขอสินสอด 500,000 บาท
จินดารัตน์- สมัยก่อน กี่ปีมาแล้วคะ
สนธิ- สมัยก่อนเยอะนะ 500,000 บาท น้องสาวไม่มีตังค์ก็ร้องไห้ไม่รู้จะทำยังไง ก็ตัดสินใจมาหาผม บอกเขาจะหนีกันไปแล้ว บอกเฮ้ยๆ อย่าหนี ถ้าแกหนีฉันซวย ฉันเหนื่อย ผมก็เลยไปหาเงิน 500,000 ให้เขา เขาก็เอาเงิน 500,000 มาให้แม่ แม่ก็ภูมิอกภูมิใจใหญ่ นับใหญ่เลยเงิน หารู้ไม่ว่าเงินผม
จินดารัตน์- ตอนนั้นคุณสนธิอายุเท่าไหร่แล้วคะ
สนธิ- ผม 30 กว่าแล้ว ทำงานแล้ว
จินดารัตน์- อู้หู 500,000 ไม่ใช่น้อยๆ นะคะ
สนธิ- แล้วน้องสาวผมอีกคนซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ติ๋ว ก็จบเกษตร แล้วไปเรียนต่อไต้หวัน พ่อผมตอนเด็กไปเรียนเมืองจีนแล้วจบโรงเรียนนายร้อยเมืองจีน หวังปู่จุงเสี้ยว โรงเรียนเดียวกับที่ โจวไหลเขาสอนหนังสืออยู่ พ่อเกลียดญี่ปุ่น เพราะพ่อสมัยหนุ่มๆ รบกับญี่ปุ่นที่เมืองจีน ฆ่าฟันกัน เล่าให้ฟังตลอดเวลาเลย ปรากฏว่าน้องสาวผมทะลึ่งไปชอบคนญี่ปุ่นที่ไต้หวัน
จินดารัตน์- พี่น้องไม่ธรรมดาเลยนะคะแต่ละคน
สนธิ- ไม่ธรรมดาเลย ปรากฏว่า คนซึ่งเป็นประธานแต่งงานให้น้องสาว คือผม เพราะพ่อปฏิเสธ ตัดลูกตัดพ่อ จนกระทั่งมีหลาน แล้วหลานคนนี้มันเป็นหลานคนเดียว ชื่อ ซาโตะมิ กีโนซ่า ซาโตะมิพ่อมันชื่อ เซ่งซัง น้องสาวผมเป็นมะเร็งตาย วันสิ้นชีวิต จับมือผมแล้วบีบ บอก โกตั๊บ เขาเรียกผมโกตั๊บ เขาฝากซาโตะมิด้วยนะ เราเป็นคนทำใจได้ ญาติพี่น้องคนไหนตายเราไม่ น้องสาวคนเล็กหาว่าผมอำมหิต ขนาดน้องสาวตายยังไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร ผมรับปากเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า เซ่งซังไปมีเมียใหม่ แล้วมีลูกอีกคน แล้วเอาไปอยู่ที่มาเก๊า เขาไปสอนหนังสือที่มาเก๊า แล้วกลับไปอยู่ที่โอกินาวา มีอยู่วันหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม ให้ผมบินไปหาเขาที่โอกินาวา เป็นเนื้องอกในสมอง ผมเลยต้องเอากลับมาเมืองไทย จากโอกินาวามารักษาที่เมืองไทย หมดไปอีกเกือบ 2 ล้านบาท แล้วก็ตาย ปรากฏไอ้มิผมเลยต้องเลี้ยงดู
จินดารัตน์- เป็นลูกอีกคนหนึ่ง
สนธิ- ลูกอีกคนหนึ่ง มันเรียนอยู่ ISB International Scool คุณก็รู้ค่าเรียนแพงฉิบหาย ค่าเล่าเรียน 1 ปีประมาณ 1 ล้าน ส่งจนเรียนจบ โชคดีที่เขาอยู่ที่ปุ๊
จินดารัตน์- อาจารย์หญิง
สนธิ- อาจารย์หญิง พี่ปุ๊เขาก็สอนเป็นสุภาพสตรีดีขึ้น แต่มันเรียนเก่งมันเลยได้ทุนไปเรียนเวิร์สเล่ย์ เป็นท็อปเทนของอเมริกา ขาดได้ทุนปีละ 40,000 เหรียญ ยังต้องให้มันอีก 17,000 เหรียญต่อปี ไม่พอ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จต้องใช้ประมาณ 60,000 เหรียญต่อปี 60,000 เหรียญ เกือบ 2 ล้านบาท แต่มันเรียนเก่งมาก ที่ ISB มีคะแนนแปลก ผมนึกว่ามี 4 ก็คือ A 4 กว่าก็มีนะ A+ มันได้ C C กว่า ตอนนี้เรียนปี 2 อยู่เวิร์สเล่ย์
จินดารัตน์- ไม่ได้ทำให้โกตั๊บผิดหวัง
สนธิ- คราวที่แล้วชุมนุมที่มัฆวานเขาก็กลับมา เขามาช่วยงาน
จินดารัตน์- สาธิตมัฆวาน
สนธิ- เขามาช่วยงานเขามาทุกอย่าง มันพูดญี่ปุ่นได้ พูดไทยได้ พูดอังกฤษ พูดจีนกลางได้ พูดกวางตุ้งได้
จินดารัตน์- เป็นเด็กน่ารักมากนะคะพ่อแม่พี่น้องขา แอนเคยเจอน้องมิ เคยอยู่ด้วยกัน 2-3 วัน รู้ว่าสายเลือดตระกูลนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เรื่องเรียนเก่งนี่สุดยอด แล้วคุณสนธิก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกันนะคะ หลายคนสงสัย ทำไมเป็นเด็กเกเร รักเพื่อน เพื่อนชวนไปไหนเฮนั่น แต่เรียนเก่งเป็นบ้าเลย
สนธิ- คือผมเป็นคนที่ เวลาต้องสอบ เวลาเรียนหนังสือในห้องผมจะสนใจ อาจารย์พูดอะไรผมจะสนใจตลอดเวลา ผมจะไม่เล่นกับใคร พอจบปั๊บถึงเวลาดูหนังสือผมดู แต่ถึงเวลาเลวก็เลว ผมแบ่งถูก เวลาเล่นกีฬาผมเล่นสุดๆ เวลาเกเรก็เกเรสุดๆ แต่พอมานั่งโต๊ะแล้วมีหนังสือวางอยู่ข้างหน้าผมทิ้งทุกเรื่อง มันเลยติดนิสัยมาถึงการต่อสู้ทุกวันนี้
จินดารัตน์- คนที่เกเรส่วนใหญ่นะคะคุณสนธิ เขาจะไม่ค่อยสนใจหรอกว่าถึงเวลาเรียนต้องเรียน ส่วนใหญ่นะคะ แต่คุณสนธิต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณสนธิตั้งใจเรียน
สนธิ- มันแบ่งแยกตัวเองได้ตั้งแต่เด็กแล้วมันเลยทำให้ตัวเองมีความรู้สึกว่า ถ้ามันจะต้องตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง มันเข้าใจดี นั่นคือที่มาของตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง คือไม่กลัว เพราะมันพัฒนามาจากเด็ก ผมพยายามบอกหลายคนว่า คนเราจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีหลายลิ้นชัก มีเรื่องอะไรรับไม่ไหว เปิดลิ้นชักใส่ปิดลิ้นชักเก็บ อย่าไปคิดมัน
จินดารัตน์- ทำได้ด้วยหรอคะ
สนธิ- ต้องทำได้ซิ ต้องทำได้ ถึงจุดๆ หนึ่งแล้วทำได้ ถ้าไม่อยากจะเครียด ไม่อยากเป็นมะเร็ง ไม่อยากเป็นเบาหวาน ไม่อยากเป็นอะไรทุกอย่างต้องทำได้
จินดารัตน์- ก่อนไปถึงจุดนั้น แอนต้องถามไล่เรียงไป ความใจเด็ด ความมีสติ ใช้ชีวิตแบบมีสติตั้งแต่เด็กๆ คุณสนธิได้มาจากใคร ได้มาจากแม่เพราะเห็นแม่ลำบากหรอคะ
สนธิ- น่าจะเป็นอาจารย์ เพราะเด็กประจำ เด็กอัสสัมชันศรีราชาไม่เหมือนเด็กประจำทั่วไป เด็กประจำวัฒนา หรือว่าวชิราวุธ 2 อาทิตย์กลับบ้านที อัสสัมศรีราชาปิดเทอมถึงได้กลับบ้านที เพราะฉะนั้นแล้วความผูกพันที่อยู่กับเพื่อน ความผูกพันที่อยู่กับอาจารย์ รักเพื่อนมากกว่ารักพี่รักน้อง รักอาจารย์มากกว่ารักพ่อรักแม่ เป็นอย่างนั้นเลย
จินดารัตน์- อยู่อัสสัมกี่ปีคะ
สนธิ- 13 ปี
จินดารัตน์- 13 ปี คุณสนธิตอนเด็กๆ เคยคิดไว้หรือเปล่าคะว่า โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร
สนธิ- ไม่เคย ที่แน่นอนที่สุด ไม่เคยใฝ่ฝันเรื่องการเป็นตำรวจ ทหารเลย
จินดารัตน์- เพราะแม่ปลูกฝังมาอย่างนั้น
สนธิ- ไม่ใช่ มีความรู้สึก ในยุคผมคนที่นามสกุลแล้วขึ้นด้วยแซ่ ลิ้มทองกุล ฮุนตระกูล ภู่อะไรพวกนี้ สมัยก่อนเป็นตำรวจทหารไม่ได้เพราะเขาถือว่ามีเชื้อจีน เราก็เลยมีความรู้สึกอะเจ้น
จินดารัตน์- ต่อต้าน
สนธิ- ต่อต้าน ไม่เป็นก็ดี ไม่รู้จะเป็นทำไม แล้วยิ่งพอมาถึงวันนี้ดีใจฉิบหายไม่ได้เป็น
จินดารัตน์- ไม่แน่นะคะถ้าเป็นป่านนี้ได้เป็น
สนธิ- ถูกออกจากราชการไปนานแล้ว
จินดารัตน์- เพราะไม่เหมือนชาวบ้านเขา
สนธิ- ไม่ใช่ไม่เหมือนชาวบ้าน เรารับความชั่วไม่ได้ ถ้าผมเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ วันที่ 7 ต.ค. ผมจะออกมาขวางเลย ถ้ามึงจะย้ายกูก็ย้ายกูไม่กลัว เพราะผมไม่ยึดติด แต่ไหนแต่ไร
จินดารัตน์- แต่ไม่แน่นะคะคุณสนธิ ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเป็นตำรวจจริง คุณสนธิอาจจะถูกหล่อหลอมมาด้วยระบบเลวๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมคะ หรือว่ามั่นใจในตัวเอง
สนธิ- ผมมั่นใจในตัวเอง ผมคิดว่า พ่อแม่สอนมาดี คนเรามีจริยธรรม มีศีลธรรม ระบบชั่วยังไงก็ตามมันจะเอาเราไม่อยู่ แล้วจะทำให้เราไม่อยากอยู่กับมันด้วย เพราะฉะนั้นแล้วคุณแอน ถ้าผมเป็นผมอยู่ได้ไม่นานผมก็ต้องออก ผมรับไม่ได้ ผมรับไม่ได้จริงๆ
จินดารัตน์- ไม่อยากเป็นทหาร ตำรวจ แล้วอยากเป็นอะไรไหมคะ เคยมีภาพในใจไหมคะ
สนธิ- ตอนผมไปเรียนเมืองนอก ผมมีความฝัน คนหนุ่มก็มีความฝัน ฝันจะเปลี่ยนโลก ผมทำหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ปริญญาตรี แล้วก็ปริญญาโททำหนังสือพิมพ์ จบปริญญาโทปั๊บผมทำงานสำนักข่าวเอพี ผมเป็นผู้สื่อข่าวกีฬานะ อเมริกันฟุตบอล เบสบอล ผมทำหนังสือแล้วอยากจะกลับมาเมืองไทยแล้วทำหนังสือรายสัปดาห์ที่คนเอเชียอ่านได้ทั้งหมด อยากจะเปลี่ยนเอเชีย เปลี่ยนโลก พอกลับมาเมืองไทยแล้วขอเปลี่ยนแค่เมืองไทย พออยู่ไปสักพัก ขอเปลี่ยนบริษัท พอแก่ตัวลงขอทำให้ลูกเป็นคนดีพอแล้ว ความยิ่งใหญ่มันเล็กลง
จินดารัตน์- มันเล็กลงๆ
สนธิ- เพราะระบบมันทำให้เราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดแล้ว เรายังสรุปจบลงที่ว่า ขอให้ลูกเป็นคนดี
จินดารัตน์- คุณสนธิก่อนจะไปเป็นนักข่าว เรียนจบมัธยมเสร็จก็มาเรียนที่อเมริกา
สนธิ- ผมเรียนจบมัธยม ผมไปเรียน คุณพ่อส่งไปเรียนไต้หวัน 1 ปี ผมไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ไต้หวัน ไปเกเร แทงสนุ๊กทั้งวัน แล้วไปมีแฟนเป็นสาวเซี่ยงไฮ้ ชื่อ มิกกี้ เหมย ยังจำได้เลย เหมย ฮุ่ยลี่ จำแม่น พ่อเขาเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้า เรียน 1 ปีไม่ไหวเพราะภาษาจีนเราไม่รู้เรื่อง เราพูดได้เฉยๆ เขียนอ่านไม่ได้ จากการที่พูดได้ที่ไต้หวันปีนั้นทำให้ติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยบอกพ่อแม่ไม่ไหวแล้วเลยขอไปเรียนอเมริกา ตอนเราจบ ม.8 คะแนนเราดีมาก โชคดีได้เข้ายูซีแอลเอ แล้วไปต่อปริญญาโทที่นั่น
จินดารัตน์- เลือกเรียนประวัติศาสตร์
สนธิ- ผมเป็นคนชอบเรียนประวัติศาสตร์ ชอบอ่านหนังสือ สมัยเด็กๆ ชอบอ่านหนังสือ เวลาเขาปิดไฟแล้วเอาผ้าห่มคลุมเอาไฟฉายส่อง อ่านพวกลูกแม่ค้า น้ำตาแม่ค้า เสือดำเสือใบ พลนิกรกิมหงวน ผู้ชนะสิบทิศ อ่านหมดทุกเรื่อง ชอบอ่านหนังสือตลอดเวลา แล้วมีความรู้สึกผูกพันธ์กับอะไรที่เป็นของเก่า อะไรที่มันมีความเกี่ยวโยงกัน เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้มันเลยติดนิสัยมา เวลาผมดูปัญหาอะไรผมจะดูย้อนหลัง ผมไม่ดูเฉพาะตรงนี้ ผมไม่ตัดสินอะไรด้วยตรงนี้ ผมจะอยากรู้โต๊ะนี้ก่อนจะเป็นโต๊ะมันมายังไงก่อน ไม้เอามาจากต้นอะไร หินอ่อนเอามาจากที่ไหน แล้วผมถึงจะทำความเข้าใจ เขาเรียกว่าดูแบบองค์รวม พอชีวิตเข้าไปทำงานหนังสือพิมพ์มันเลยมีความรู้สึกว่า หนังสือพิมพ์สมัยนี้ สื่อมวลชนสมัยนี้มันดูเฉพาะภาพข้างหน้านี่เอง สมมุติว่า คนๆ หนึ่งเกิดบ้าเลือดไปชกไอ้หมอนี่ บอกไอ้นี่เกเร แต่ถ้าดูย้อนหลังจะรู้ว่าไอ้นี่โดนรังแกมาตลอดชีวิต จนกระทั่งมันสติแตกมันสู้ไม่ไหว นั่นคือที่มา ทำให้การต่อสู้ของเราแต่ละครั้ง ทำให้ผมมั่นใจว่า ประชาชนและสังคมไทยโดนทักษิณรังแกมาตลอดจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาสู้ เขาก็บอกว่า พวกเราก่อความวุ่นวาย เพราะเขาดูเฉพาะตรงนั้นแต่เขาไม่ดูว่า ทำไมพวกเราต้องออกมา มันสืบเนื่องมาจากการถูกอบรม
จินดารัตน์- แล้วพอไปเรียนอเมริกา สาวคนนั้นล่ะคะ
สนธิ- มิกกี้ เหมย เขาไปเรียนฝรั่งเศส
จินดารัตน์- แล้วยังเจอกันหรือเปล่าคะ
สนธิ- อ๋อ เขามีสามีแล้ว เพราะคนจีนจะชอบคนที่เรียนด็อกเตอร์ พอเขารู้ผมเรียนประวัติศาสตร์เขาร้องยี้เลย เพราะคนจีนจะชอบแฟน หรือชอบให้ลูกเรียนหมอ เรียนวิศวะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าบอกเรียนประวัติศาสตร์ เหมือนอย่างผม ผมไปเรียนที่อเมริกาผมก็โกหกที่บ้าน ผมบอกผมเรียนวิศวะ ไม่งั้นพ่อด่าตายห่า แต่ผมเรียนประวัติศาสตร์ผมเลยชอบมาทางนี้
จินดารัตน์- พอจบออกมาพ่อไม่ถามวิศวะอะไรของเอ็งวะทำไมถึงไปทำนักข่าว
สนธิ- ก็กลับมา กลับมาถึงรู้ ข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้ว
จินดารัตน์- สายไปเสียแล้ว เริ่มต้นจากการเรียนประวัติศาสตร์ ชอบอ่าน ชอบ
สนธิ- นี่คุณจะเอาตั้งแต่เด็กเลยหรอ
จินดารัตน์- คืออยากรู้ทำไมถึงเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้ แอนอยากรู้ว่า คุณสนธิมีแนวคิดอะไร ได้รับการปูพื้นมาจากอะไร
สนธิ- หนังสือครับ การอ่าน
จินดารัตน์- คุณสนธิเป็นคนความจำดีมาก
สนธิ- บางเรื่องก็ไม่อยากจำ การให้อภัยคุณว่ายิ่งใหญ่ไหม
จินดารัตน์- ยิ่งใหญ่ค่ะ
สนธิ- แต่ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัยคือการลืม
จินดารัตน์- ลองอธิบายนิดนึงได้ไหมคะ
สนธิ- ถ้าคุณให้อภัยคุณยังจำได้ กูให้อภัย แต่การลืมคือไม่สนใจแล้ว คือการปล่อยวาง
จินดารัตน์- ปิดสวิตซ์เลย
สนธิ- ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัย คนเราต้องฝึกลืมให้เป็น
จินดารัตน์- จะได้ไม่ต้องแบกรับทุกเรื่องเอาไว้
สนธิ- จะได้ไม่ต้องแบกรับ
จินดารัตน์- แต่ก่อนที่คุณสนธิจะทำได้ใช้เวลาพอสมควรใช่ไหมคะ
สนธิ- มันผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ บังเอิญ ส่วนหนึ่งที่ผมได้มาเพราะว่าคุณูปการของปุ๊ อาจารย์หญิง ปุ๊เขาเป็นคนสนใจธรรมะมานานแล้ว เขาเป็นคนยุให้ผมเข้าวัด ยุให้ผมอ่านธรรมะ เอาหนังสือเล่มนู้นเล่มนี้มาให้ ผมมาได้จริงๆ ในช่วงที่ผมไปบวชกับหลวงพ่อญา วัดกุดโพนทัน หนองบัวบำภู ท่านเป็นมหานิกาย เสร็จแล้วก็ได้ตรงนั้นส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อปีที่แล้วไปบวชกับหลวงตามหาบัว ฝ่ายธรรมยุต ผมได้ทั้ง 2 ฝ่าย บวชครั้งแรกเหมือนได้ไปสัมผัสกับสติ แต่ครั้งที่ 2 รู้จักใช้สติและพิจารณา พิจารณาขันธ์ทั้ง 5 พิจารณาเรื่องราวของไตรลักษณ์ อนิสจัง ทุกขัง อนัตตา ยิ่งอายุมากเห็นเหตุการณ์มาเยอะ เห็นสมัคร สุนทรเวช ก็อนิสจังแล้ว วันนี้นอนโคม่าอยู่บนเตียง เมื่อต้นปี คุณเฉลิมยังเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ผ่านไปไม่มีตำแหน่ง กลับมาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข 2-3 เดือน วันนี้กลายเป็นคนซึ่งไม่มีอะไรอีกเหมือนกัน ที่น่าสงสารคือคนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจหลักอนิสจัง ยังลุ่มหลงอยู่ในกิเกส เขาเรียก โมหะ โทสะ
จินดารัตน์- ยึดติด
สนธิ- ยึดติดมหาศาล ผมโชคดีอย่างที่ผมไม่ได้ยึดติดอะไร
จินดารัตน์- แต่เชื่อว่าสมัยหนุ่มๆ คุณสนธิใช้ชีวิตสมัยหนุ่มๆ ก็คงจะไม่ได้เป็นแบบนี้
สนธิ- คุณกำลังจะถามอะไรผม
จินดารัตน์- อยากรู้ว่าตอนหนุ่มๆ วิธีการดำรงชีวิตของคุณสนธิเป็นยังไง ไม่เหมือนตอนนี้แน่ๆ
สนธิ- ผมเป็นคนที่เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต ผมเป็นคนที่ยโสโอหังมากสมัยหนุ่มๆ ผมคิดว่าผมเก่ง
จินดารัตน์- อีโก้มาก
สนธิ- สูงมาก จนกระทั่งผมล้มละลายเมื่อปี 2540 เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตอนผม 50 ตอนนั้น ผมยิ่งใหญ่มากก่อนผมล้มละลาย
จินดารัตน์- คือก่อนหน้านั้นอยากได้อะไรได้หมดทุกอย่าง
สนธิ- ยิ่งใหญ่ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เขียนข่าวถึงผม นิวยอร์กไทมส์นะไม่ใช่สเตรทไทมส์ นิวยอร์กไทมส์เขียนข่าวถึงผม 2-3 ครั้ง เอเชียวีคเอาผมขึ้นหน้าปก ตั้งแต่คุณทักษิณอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ลอสแองเจลิสไทมส์เขียนถึงผมทั้งหน้า ผมภูมิใจ ไทมส์แมกกาซีน คือภูมิใจในสิ่งที่ไม่ควรจะภูมิใจ เป็นเรื่องสมมุติ แล้วพอผมล้ม ผมยังจำได้เลยวันที่ล้ม พ่อหัวเราะ พ่อเขาบอก คนอย่างมึงต้องแพ้ซะมั่ง
จินดารัตน์- ใช้คำนี้เลยหรอคะ
สนธิ- นั่นคือที่มาของประโยชน์ "ต้องแพ้เสียก่อนถึงจะชนะ"
จินดารัตน์- หนังสือเล่มหนึ่ง
สนธิ- ผมเอาคำพูดพ่อมา เพราะว่ามึงไม่เคยแพ้มึงเลยไม่มีความรู้สึกว่าตอนแพ้เป็นยังไง
จินดารัตน์- ในชีวิตอยากได้อะไรก็ได้ตลอด
สนธิ- มันไม่อยากได้อะไรก็ได้ คือเก่ง นึกว่าตัวเองเก่ง นึกว่าตัวเองเปลี่ยนโลกได้ นึกว่าตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ สมัยปี 35 35, 36, 37 มีบริษัทอยู่ที่นิวยอร์ก ลองแองเจลิส แมนเชสเตอร์ ที่อังกฤษ มีตั้งแต่ก่อนทักษิณมีแมนซิตี้ แล้วมีบริษัทอยู่ที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ผมบินไปอเมริกาปีนึง 5-6 เที่ยว ไปอังกฤษ ไปอเมริกาไปนิวยอร์ก ผมบินกรุงเทพฯ-ลอนดอน ลอนดอนต่อไปแมนเชสเตอร์ ประชุมที่นั่น วันรุ่งขึ้นนั่งเครื่องกลับมาลอนดอนต่อเครื่องคองคอร์ด ผมนั่งคองคอร์ดปีละประมาณ 5-6 เที่ยว คองคอร์ดเป็นเครื่องบินบินเร็วกว่าเสียง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมบินจากนิวยอร์กกลับลอนดอน คนที่นั่งข้างๆ ผม ผมไม่รู้จัก ก็คุยกันมาตลอด พอลงไปถึงสนามบินฮีทโธร์ว เดินออกมาด้วยกัน คนขับรถที่มารับผม บอกยูเดินมากับอีริค คัตตัน ผมยังไม่รู้จักเลยเขาเป็นใคร แต่กำลังเล่าให้ฟังว่า นี่มันเรื่องสมมุติทั้งนั้น แล้วพอเราล้มละลาย เราเจ๊ง เราโชคดีอย่างเราคืนหนี้เมืองนอกหมด เรายืมหนี้เมืองนอกมาประมาณ 400 ล้านเหรียญ เราขายกิจการทิ้ง เรามีโรงพิมพ์อยู่ที่คอสเมซ่า มีแมกกาซีนอันนึ่งอยู่ที่ลอสแองเจลิส ชื่อ บัส แล้วมีบริษัทอินเวสต์เมนต์อยู่นิวยอร์ก ทั้งหมดขายทิ้งหมดเลย ที่แมนเชสเตอร์ คืนหนี้หมด ก็เหลือเฉพาะหนี้ในเมืองไทย หนี้เมืองไทยเป็นหนี้ค้ำประกัน
จินดารัตน์- เจ็บปวดไหมคะ
สนธิ- ตอนนั้นมีความรู้สึกไม่ใช่เจ็บปวดแต่มีความรู้สึกใจหาย คือมีหนี้ที่ผมค้ำประกันอยู่ 8,000 ล้าน แล้วตอนนั้นผมวิพากษ์วิจารณ์คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มาก อีท่าไหนไม่รู้แกก็ให้ธนาคารซึ่งเป็นธนาคารในเครือแก ธนาคารนครหลวงไทย ฟ้องผมล้มละลาย หนี้แค่ร้อยกว่าล้าน ปรากฏว่า เจ้าหนี้ทุกคนวิ่งกันตีนขวิดเลย คุณสนธิอย่านะต้องสู้นะ ผมสู้อยู่แล้ว ผมก็สู้ สู้ในศาลล้มละลายจนกระทั่งศาลบอกว่า ต้องล้มละลาย พอพิพากษาเสร็จ ผมยังจำได้เลย พวกเจ้าหนี้ทั้งหลายโทรศัพท์มาหาผมเลย ต้องอุทธรณ์นะคุณสนธิอย่าไปยอมแพ้นะ
จินดารัตน์- เจ้าหนี้หรอคะ
สนธิ- เจ้าหนี้ ปรากฏพอผมล้มละลาย ศาลพิพากษา ผมโทรศัพท์ไปหาหลวงพ่อญา เล่าให้ท่านฟัง ท่านหัวเราะเอิ๊กอ้าก
จินดารัตน์- ทำไมคะ
สนธิ- ท่านบอกหลุดแล้ว ท่านบอก บุญมาแล้ว เพราะล้มละลาย 3 ปีไง ไม่ต้องค้ำประกันหนี้ 8,000 ล้าน
จินดารัตน์- สบายเลย
สนธิ- ทีนี้คนมันกลัวการล้มละลาย ผมล้มละลายผมไม่กลัวเพราะผมไม่ได้แกล้งล้ม ผมสู้เลือดตาแทบกระเด็นเลยนะ เอาหลักฐานทั้งบัญชีมาดู แต่ศาลบอกว่าต้องล้ม
จินดารัตน์- เจ้าหนี้อยากให้สู้ต่อเพราะเจ้าหนี้รู้ว่า ยังไงต้องได้คืนจากคุณสนธิแน่
สนธิ- คือเจ้าหนี้บอก ตอนนั้นผมอายุยังน้อย ตอนนั้น 10 กว่าปีที่แล้วเขาอยากให้ผมเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต จนกระทั่งผมลงหลุม ปรากฏว่าหลวงพ่อหัวเราะ บอกหนี้หมด พี่สามารถ จำได้ไหม อ.สามารถ มังสังข์ ที่เคยออกทีวีคงจำ อ.สามารถ อ.สามารถหมอดูดวงนะ
จินดารัตน์- ดูแม่นมาก
สนธิ- ดูแม่นมากเลย แกดูดวงผม เอ๊ะคุณสนธิ คุณจะมีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก รับลองว่าไม่เกิน 3 ปีล้างหนี้หมด
จินดารัตน์- ดูตอนล้มละลายหรอคะ
สนธิ- ดูก่อนล้มละลาย
จินดารัตน์- ก่อนล้มละลาย
สนธิ- แกก็ไม่รู้มันจะเกิดอะไรขึ้น พอย้อนหลัง นั่นนะซิผมยังดูไม่ออก ปรากฏหมดหรือเปล่า หมด ค้ำประกันหนี้ 8,000 ล้าน คุณขายยาบ้ายังไม่ได้เลยนะ 3 ปี แต่ที่พูดให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่า ควรจะล้ม แต่หมายความว่า การล้มไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เราไม่ได้ไปคตโกงอะไรที่ไหน เป็นหนี้ค้ำประกัน คือล้มแล้วยังไง ไม่ล้มแล้วยังไม คนบางคนล้มละลายแล้วลุกไม่ขึ้น อาย
จินดารัตน์- หาทางออกไม่เจอ
สนธิ- ผมไม่เห็นจะต้องอายใครที่ไหนเลย วันที่ล้มละลาย ผู้จัดการมาถามผมจะให้ลงข่าวไหม ผมบอก มึงอย่าลงอย่างเดียวนะต้องพาดหัวใหญ่ด้วย มันจะต้องไปปิดอะไรล่ะ
จินดารัตน์- แล้วทำไมคุณสนธิถึงไม่อายล่ะคะ
สนธิ- ทำไมจะต้องอาย ผมไม่ได้ไปปล้นใคร มันเป็นความล้มเหลวทางธุรกิจ ผมไปค้ำประกันหนี้เอาไว้ ถามว่ามีใครบ้างไม่เคยค้ำประกัน คนทำธุรกิจ ทุกคนค้ำประกัน แล้ว 2540 เศรษฐกิจทั้งโลกพังหมด
จินดารัตน์- ไม่ได้เจ๊งคนเดียว
สนธิ- ไม่ได้เจ๊งคนเดียวมันเจ๊งหมดทุกคน ผมก็สู้ ผมไม่ได้หนีหนี้ ผมสู้ ผมสู้จนกระทั่ง คือเขาฟ้องผมทำไม ผมพร้อมจะประนอมหนี้อยู่แล้วตอนนั้น คล้ายๆ มานั่งรวมตัวกันแล้วเซ็นสัญญาว่าขอประนอมหนี้นะ 8,000 ล้าน ลดให้เหลือเท่าไหร่ คือผมเป็นคนค้ำประกันผมไม่ควรจะจ่ายหมด ผมควรจะจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ 50 เปอร์เซ็นต์ จ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ 4,000 ล้าน ลดให้เท่าไหร่ ลดให้ครึ่งนึง 2,000 ล้าน 2,000 ล้านแบ่งจ่ายยังไง แบ่งจ่ายจนกระทั่งผมเกิดชาติหน้าก็ต้องจ่ายต่อ ก็ว่ากันไป คือพร้อมจะทำ แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ชอบที่ผมไปวิพากษ์วิจารณ์เขา เขาเลยเอาให้ตาย เหมือนกัน เหมือนคุณทักษิณเอาให้ตาย
จินดารัตน์- ตอนนั้นคุณสนธิมีทั้งโรงแรม ธุรกิจในต่างประเทศเยอะมาก
สนธิ- มีครับ ผมมีโรงแรมที่เวียดนาม ผมมีโรงแรมที่ลาว โรงแรมที่ลาวขายทิ้งตอนหลัง
จินดารัตน์- ตอนมาทำ ASTV
สนธิ- ขายทิ้งก่อนล่วงหน้า แล้วมีธุรกิจหลายอย่าง
จินดารัตน์- คุณสนธิตอนนั้นมีสตางค์เยอะ
สนธิ- มีหนี้เยอะ
จินดารัตน์- มีธุรกิจเยอะก็ร่ำรวยพอสมควร ในใจคิดว่าจะต้องรวยกว่านั้นหรือทำไปเพราะอยากทำ หรือยังไง
สนธิ- มันเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ คือมีความรู้สึกว่าตัวเองอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง ความจริงการล้มละลายครั้งนั้นเป็นการปูพื้นฐานให้เรามีความรู้สึกว่า ชีวิตจริงๆ แล้วพอเพียงดีที่สุด ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความเท่ห์ ความเท่ห์กินไม่ได้ ช่วงหลังผมเลยเข้าใจ แต่มันมีปรากฏการณ์ล้มละลายบางอย่างที่ผม ตอนที่เขายังไม่ฟ้องผมล้มละลายแต่ธุรกิจพังหมดแล้ว ตอนนั้นหลวงตากำลังระดมทองคำเพื่อช่วยชาติ ผมมีทองคำอยู่ประมาณ 40 แท่ง แท่งนึง 10 บาท 40 แท่ง 400 บาท เราก็มองทองคำ ผมก็ถาม อ.ปุ๊ นี่ก็เป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ นะ ตอนนั้นบาทละประมาณ 4,000 1.6 ล้าน สมัย 13 ปีที่แล้วก็เยอะ สักปี 2539 ย่าง 40 ต้นๆ ปี 40 เอายังไง ปรากฏว่าเราตัดสินใจ ไม่เสียเวลาเอาไปมอบให้หลวงตา เอาไปเข้าคลังหลวง ทำบุญครั้งนั้นไม่ได้คิดยักเก็บเอาไว้เพื่อตัวเองใช้ ช่างมันหมดๆ ไป ก็เป็นเรื่องประหลาดใจ น่ามหัศจรรย์มาก เพราะว่าช่วงหลังๆ พอมีการติดขัดจะมีคนมาช่วยตลอดเวลา คือผมกำลังจะพูดว่า บุญกุศลบางเวลาถ้าทำแล้วอย่าไปเสียดาย เราก็มองมีทองคำอยู่ 400 บาท แล้วยังไงเราก็มีข้าวกิน ใช่ไม่ใช่ ก็เลยตัดทิ้งไปเลย
จินดารัตน์- ตอนนั้นครอบครัวเข้าใจกันดีไหมคะ อย่างอาจารย์หญิงกับคุณปั๊บ คุณจิตตนาถ
สนธิ- ปั๊บตอนนั้นเขาเพิ่งจะหนุ่มๆ เข้าใจ ทุกคนเข้าใจ แม้กระทั่งการสู้ปี 48, 49, 50 ผมเรียกปุ๊แล้วก็ปั๊บ ผมบอกว่า ผมเรียกตัวผมว่า ป๋า บอกป๋าต้องสู้ พ.ต.ท.ทักษิณ นะ เพราะว่าป๋าไม่สู้ไม่ได้ ถ้าป๋าไม่สู้ชีวิตนี้นอนตายตาไม่หลับ แต่ว่าผลของการสู้มันจะลำบากนะ เผอิญปุ๊เขาเป็นอาจารย์ เขามีเงินบำนาญอยู่แล้ว เขาก็อยู่ได้ เขาบอกเขาอยู่ได้อยู่แบบสมถะเขาอยู่ได้ ผมก็เลยถามลูกชาย ปั๊บว่าอะไรป๋าไหมถ้าสู้แล้วมันเจ๊งหมดทุกอย่างแล้วปั๊บไม่มีอะไรเลย เขาบอกเขาโอเคแล้ว ป๋าเลี้ยงมาเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปั๊บก็เต็มใจ ไม่ขัดข้อง ผมก็เลยจำได้ไหม ผมเรียกพนักงานทุกคนไป ผมให้ทุกคนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมบอกว่า อาจจะมีปัญหา เงินเดือนอาจจะไม่มี ถ้าคุณรับไม่ได้คุณลาออกไป ถ้าคุณคิดจะร่วมขบวนการสู้กับผมก็สู้ต่อไป ไม่ใช่พูดเฉพาะนั่นผมพูดหมดทุกคน
จินดารัตน์- จำได้ค่ะ คุณสนธิเรียกไปที่บ้านพระอาทิตย์
สนธิ- ใช่บ้านพระอาทิตย์ ยืนอยู่ข้างๆ สระน้ำ
จินดารัตน์- บอกว่า ถ้าใครคิดว่าอยู่ไปแล้วลำบากเงินเดือนได้บ้างไม่ได้บ้างให้ลาออกไปเลยวันนี้ไม่ว่ากัน แอนจำได้นะคะวันนั้น สุดท้ายไม่มีใครลาออกแม้แต่คนเดียว คุณสนธิคะ ความรู้สึกในครอบครัว การให้กำลังใจกัน
สนธิ- สำคัญ ถ้าสมมุติปั๊บเขาต้องสู้ในเรื่องอะไร แล้วผมเห็นว่าการสู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมเป็นแบล็คเขาเต็มที่ ฉันใดฉันนั้นผมได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาเต็มที่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกฝากคุณแอนแล้วก็ผู้ชมที่บ้านคือ ส่วนหนึ่งที่พวกเรา ผมชนะ และพี่น้องชนะ เพราะว่าเราเอาธรรมนำหน้า การเอาธรรมนำหน้าไม่มีทางที่คนอย่างคุณทักษิณจะชนะเราได้ หรือคนอย่างคุณเฉลิม หรือใครที่รังแกเรา ไม่มีทาง แพ้เราแน่นอน เพราะเราชูธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้ามีมานานแล้ว 2,000 กว่าปีแล้ว แล้วไม่เคยพิสูจน์ว่าผิด ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยธรรม เพราะฉะนั้นการเอาธรรมนำหน้าเป็นการสู้ที่ไม่ผิด เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามถ้าสู้โดยใช้ธรรมนำหน้าผมจะสนับสนุนเต็มที่
จินดารัตน์- มันเป็นสัจจธรรม
สนธิ- แน่นอน
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่กลัวหรอคะตอนนั้นตัดสินใจ สู้กับยักษ์ใหญ่นะคะ
สนธิ- มันกลัวจนหายกลัว
จินดารัตน์- กลัวจนต้องกล้า คือผมมามองแล้ว ตรงนู้นก็กลัวตรงนี้ก็กลัว คนนู้นก็กลัวคนนี้ก็กลัว เอ๊ะมันกลัวอะไร 1. มันกลัวทรัพย์สมบัติสูญเสีย 2. มันกลัวชีวิต ทรัพย์สมบัติสูญเสีย ผมก็มองว่าเอ๊ะ พรุ่งนี้เราตายไปนาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่รู้ของใคร ไม่รู้จะเป็นของลูกชายผมหรือเปล่า อาจจะทำหายไปแล้วก็ได้ แหวนก็ไม่ใช่ของผม เพราะฉะนั้นแล้วมันไม่มีอะไรที่เราจะเอาติดตัวไปได้ ไปกลัวตายทำไม ผมเป็นคนเชื่อกฎแห่งกรรมมากที่สุด คือคนเรา อย่างที่พี่ลองพูดตลอดเวลา นอนอยู่กับบ้านดีๆ รถตกจากทางด่วนมาทับตัวเองตาย เพราะฉะนั้นแล้วคนเราถ้าไม่ถึงที่ตายยังไงก็ไม่ตาย เมื่อเราไม่กลัวตาย หรือเราเตรียมตัวตายแล้ว สำคัญมากนะ พวกเราต้องเตรียมตัวตาย จิตเราต้องนิ่ง ถ้าเราเตรียมตัวตายเราไม่กลัวตาย ก็เหลืออยู่ทรัพย์สิน ถ้าเราไม่กลัวตายเราเสียดายทรัพย์สินทำไม ผมไม่เห็นจะเสียหาย วันนี้มีรถใช้พรุ่งนี้ไม่มีรถก็ไม่เสียหาย อะไร ยิ่งพอสู้มากขึ้นๆ รู้จักพ่อแม่พี่น้องมากขึ้น ผมเชื่อว่าคนอย่างผมไม่มีวันจน เพราะผมไปที่ไหนก็มีแต่คนต้อนรับ ถ้าผมไม่มีกินจริงๆ ไม่มีบ้านอยู่ ผมเชื่อว่าพี่น้องทั่วประเทศจะแย่งกันบอกมาอยู่บ้านฉัน
จินดารัตน์ -เห็นด้วย พอฟังแล้วในชีวิตคุณสนธิ แอนว่าเจออะไรที่สุดๆ สูงสุดคืนสู่สามัญ พูดอย่างนี้ได้ไหมคะ
สนธิ- ได้ๆ
จินดารัตน์- แอนอยากให้พ่อแม่พี่น้องได้ดูรูป รูปถ่ายในอดีตที่คุณสนธิเคยไปถ่ายภาพไว้กับระดับผู้นำประเทศ รัฐมนตรีของจีนก็มี
สนธิ- รูปนี้คนที่นั่งข้างๆ คือ ท่านหวาง เจ้ากั๋ว หวาง เจ้ากั๋ว เป็นหนึ่งในปูลิศบูโลของประเทศจีน ยิ่งใหญ่มาก อดีตเป็นรัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือ ภาษาจีนเรียก ต่งจ้านกู้ เขามีศักเหมือนพี่ชายผม แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนล้มละลาย แล้วช่วงล้มละลายผมหายไปตั้งนานเคยเจอเขาครั้งนึงเขาต่อว่าผม เขาบอกว่า ทำไมเวลาลำบากไม่นึกถึงเขา ไม่บอกเขา
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่เคยไปขอความช่วยเหลือ
สนธิ- ผมไม่เคยขอใครทั้งสิ้น
จินดารัตน์- ขอดูภาพต่อไปนะคะ ภาพนี้ถ่ายที่เมืองจีน ผู้หญิง 3 คน เป็นคนจีนทั้ง 3 คน
สนธิ- คนที่ใส่เสื้อแดงชื่อ มาดามซ่ง เหวยกุ้ย ตายไปแล้ว มาดามซ่งมีสามีเป็นชาวบูเกเลีย เป็นนักออกแบบดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง จักรพรรดิองค์สุดท้าย มาดามซ่งเล่นเป็นซูสีไทเฮา ส่วนคนสวยๆ ที่อยู่ริม
จินดารัตน์- ขอดูอีกรูปค่ะจะเห็นหน้าชัด ขอดูอีกรูปนะคะ เสื้อดำคือคนนี้ จำได้ไหมคะใคร
สนธิ- กงลี่ ครับ กงลี่สนิทกับผมมาก เมื่อ 16-17 ปีที่แล้ว กงลี่ตอนนั้นเพิ่งจะเลิกกับจาง อี้โหว
จินดารัตน์- ผู้กำกับ
สนธิ- แล้วไปเจอที่เมืองจีน แล้วกงลี่ขอให้ผมอยู่เมืองจีนกับเขา ผมบอกไม่เอา
จินดารัตน์- อันนี้พูดเล่นพูดจริงคะ
สนธิ- พูดจริง
จินดารัตน์- จริงหรอคะ
สนธิ- ผมบอกผมขอกลับมาเมืองไทย แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนหลังเขาไปแต่งงานใหม่ ตอนนี้เขาโอนสัญชาติเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้ว กงลี่เป็นคนซันตุง
จินดารัตน์- แสดงว่าตอนหนุ่มๆ เนื้อหอมหน้าดูซิคะ
สนธิ- ก็ดูหน้าตาซิ
จินดารัตน์- ขอขำหน่อยนะคะ เห็นไม่ชัด ดูรูปต่อไปเลยค่ะ รูปต่อไปนี่ อ.ชัยอนันต์ ใช่ไหมคะ
สนธิ- ตอนนั้นไปออสเตรเลยแล้วได้เจอ ฮอร์คีติ้ง ตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย คุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
จินดารัตน์- คุณสนธิอายุเท่าไหร่คะตอนนั้น
สนธิ- 40 กว่า
จินดารัตน์- ภาพต่อไปเลยค่ะ
สนธิ- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มอบดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์สาขาเศรษฐศาสตร์ให้ผม พร้อมกับท่านอานันท์ ปันยารชุน ผมโชคดีในช่วงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพลานามัยแข็งแรงอยู่ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่านเอง นี่ถ่ายรูปที่หน้าตึกอธิกาบดี
จินดารัตน์- ต่อไปเลยค่ะ
สนธิ- มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ควีนส์แลนด์ มอบดุษฎีบัณฑิตสาขาธุรกิจให้ผม ที่ออสเตรเลีย
จินดารัตน์- นี่ที่ไหนคะ ที่เวียดนาม
สนธิ- เวียดนามครับ คนที่แต่งชุดซาฟารี ชื่อ ท่านโด๋ เหมย ท่านโด๋ เหมย เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามตอนนั้น ผมเป็นคนไทยคณะแรกที่เข้าไปเยือนเวียดนามเหนือ แล้วเข้าไปแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับท่าน ท่านโด๋ เหมย เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก แต่ท่านเสียไปแล้วตอนนี้ สมัยก่อนเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามใหญ่มาก คือคนกำหนดทิศทางของประเทศ
จินดารัตน์- คล้ายๆ กับจีน
สนธิ- คล้ายๆ จีน
จินดารัตน์- ภาพต่อไปค่ะ
สนธิ- ฝรั่งที่นั่งข้างๆ ผม ชื่อ วิชเชตเตท ไวท์เลอร์ เป็นเพรสซิเด้นของพับบลิกคอลเลจ อยู่ที่เมืองออนิวออตร้า อัพสเตรทนิวยอร์ก พับบลิกคอลเลจมีชื่อมากในอเมริกา เด็กที่มาเรียนมหาวิทยาลัยนี้จะจบปริญญาตรีแล้วไปต่อปริญญาโทที่ฮาร์เวิร์ด บางคนเรียนแค่ 2 ปี บางคนเข้าฮาร์เวิร์ด เข้าเยียวไม่ได้มาเข้าฮาร์ดวิค เรียน 2 ปีแล้วทรานเฟอร์ไปต่อฮาร์เวิร์ด ที่วิชเชต ไวท์เลอร์ ให้ปริญญาเอกผม สาขาอักษรศาสตร์ นี่เป็นวันที่เข้าพิธี
จินดารัตน์- ภาพต่อไปนะคะ
สนธิ- ให้เห็นว่า วันรับปริญญาฝรั่งเขาจัดที่สนาม เป็นกันเองสบายๆ อากาศเย็นเฉียบ
จินดารัตน์- ภาพนี้ อันนี้ที่ไหนคะคุณสนธิ
สนธิ- พระราชวังต้องห้าม ที่ปักกิ่ง คุณเห็นหรือยัง
จินดารัตน์- ขอภาพต่อไปค่ะ
สนธิ- ไม่แน่จริง
จินดารัตน์- ภาพนี้
สนธิ- เหมยเหมย
จินดารัตน์- หมีจริงใช่ไหมคะ
สนธิ- จริง คือเป็นสถานที่เลี้ยงหมีแพนด้า ที่เสฉวน เขาจะให้แขกรับหมีแพนด้าเป็นลูก แต่ต้องให้เงินค่าเลี้ยงเขา ผมเลยรับมาคนนึงชื่อ เหมยเหมย รู้สึกเหมยเหมยจะเป็นแม่พันธุ์หมีแพนด้าในช่วงหลัง โตขึ้นมาแล้วออกลูกออกหลานเต็มไปหมด ตัวหนักมาก สมัยนั้นนายแล้วครับ 15 16 20 ปี
จินดารัตน์- ขอภาพต่อไปนะคะ
สนธิ- ที่ฮาร์ดวิค คอลเลจ
จินดารัตน์- หมดแล้วภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่เก็บภาพเก่าๆ มาให้ดู คุณสนธิโดยปกติลักษณะนิสัยเป็นคนไม่ยอมแพ้คน
สนธิ- ไม่ใช่ คือถ้าใครเอาความถูกต้องมาว่าผมผมจะถอย แอนก็รู้เวลาผมประชุมทุกคนอาจจะกลัวผม แต่ถ้าผมจะเอาอย่างนี้แล้วบางคนไม่เห็นด้วยถ้าเหตุผลเขาดีผมก็เอาตามเขา ถ้าเป็นคนอย่างนี้ไม่ใช่คนไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่ ผมเป็นคนไม่สนใจรายละเอียด ใครจะเล่าจะเท้าความผมบอกหยุด ผมบอกประเด็นอยู่ที่ไหน ผมเร็ว คุณไม่ต้องมาเล่าให้ผมฟัง คือหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ มันเหมือนลูกผม ทำมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน สำนักพิมพ์ เว็บไซต์ ทีวี ทีวี 4 ปี ผมเรียนรู้มากกว่าคนซึ่งอยู่ในทีวี 20 กว่าปี เพราะฉะนั้นแล้วปัญหาอยู่ที่ไหนให้รีบบอกว่าอยู่ที่ไหน ผมบอกทำไมไม่แก้อย่างนี้ๆ แต่ถ้ามาเล่าแบล็คกราวน์ให้ฟังไม่ต้อง
จินดารัตน์- เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย นักเลง สปอร์ต จริงหรือเปล่าคะ
สนธิ- ขึ้นอยู่กับคนมองว่ากล้าได้กล้าเสียแบบไหน ถ้าเอาการต่อสู้มาวัด ก็กล้าได้กล้าเสียเพราะว่าชูธรรมนำหน้า แต่ถ้าธุรกิจ ถ้าเป็นเรื่องสื่อมวลชนก็กล้าได้กล้าเสีย เพราะมีอยู่หลายช่วงที่สามารถจะรับเงินมาได้เยอะๆ แล้วบิดเบือนตัวเอง ก็ไม่รับ ยอม
จินดารัตน์- คิดอะไรอยู่คะคุณสนธิ
สนธิ- ไม่ได้คิด คุณแอน มันมีความรู้สึกว่า ข่าวกับความเห็นต้องเป็นอย่างนี้ จะสั่งให้ผมทำอีกแบบได้ยังไง ก็ในเมื่อมันเลวจะให้ผมบอกมันดีได้ยังไง ผมเวลามองปัญหาสื่อสารมวลชนผมจะมองไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นจะบอกว่า สื่อสารมวลชนต้องเป็นกลาง ผมบอกในกรณีเป็นกลาง หมายความว่า สื่อสารมวลชนโง่ แต่ถ้าเรารู้ เรามีองค์ความรู้ ก็เรารู้มันเลว เป็นกลางได้ยังไง หลักฐานก็มี เราก็ต้องฟันธงไปซิ เราจะยืนข้างนี้เราไม่ยืนข้างนั้น ตรงนี้เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แม้กระทั่งอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ผมเคยสอนปริญญาโท ปริญญาเอกอยู่มหาลัยธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์สื่อสารมวลชน อาจารย์มหาลัยหลายคนดีขึ้น เพราะลูกศิษย์ผมหลายคนที่ผมสอนจบไปแล้วไปเป็นอาจารย์ แต่อาจารย์รุ่นเก่าๆ จะบอกว่า สนธิไม่รู้เรื่องสื่อสารมวลชน เขาบอกต้องให้เวลาเท่ากัน ต้องสัมภาษณ์ทั้ง 2 ฝ่าย ผมถามว่าเวลาคุณสัมภาษณ์คนถูกตี คนที่ถูกตำรวจฆ่า แล้วคุณไปสัมภาษณ์ตำรวจ ตำรวจบอกว่าไม่จริงๆ คุณไปเสียเวลาสัมภาษณ์ทำไม ในเมื่อองค์ความรู้คุณบอกว่า ตำรวจเป็นคนฆ่าประชาชน เป็นคนตีประชาชน คุณไปเสียเวลากับมันทำไม เหมือนนายอำนวย นิ่มมะโน เที่ยวให้สัมภาษณ์อย่างโน้นอย่างนี้ บอกมีระเบิดอยู่ในมือ คุณไปเสียเวลาทำไม แสดงว่านักข่าวมันโง่ มันต้องมีปัญญา แล้วนักข่าวทีวี หนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่ในเมืองไทยเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเทศชาติถึงไม่เจริญ
จินดารัตน์- คุณสนธิเป็นคนมองอะไรไม่เหมือนใคร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
สนธิ- ไม่ใช่ สังคมไทยไม่สอนให้คนมองอย่างรอบด้าน นี่คือการสะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาบ้านเราว่าใช้ไม่ได้ คุณแอนต้องดูแลลูกตัวเองให้ดีๆ นะ
จินดารัตน์- พูดไม่ออก คือกำลังกลุ้มใจอยู่เหมือนกันเรื่องระบบการศึกษา
สนธิ- การศึกษาบ้านเราคุณภาพต่ำมาก เมื่อคุณภาพต่ำสังคมต่ำตาม พอสังคมต่ำเราก็ได้คนในวงการที่ต่ำๆ ที่ใช้ไม่ได้ เหมือนพวกที่อยู่ NBT แม้กระทั่งคนอย่างคุณสรยุทธ์ ผมยังสงสัยว่า เขาเป็นคนรุ่นที่ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร องค์ความรู้เขาไม่มีเชียวหรือ ทุกวันนี้เขายังเรียกคุณทักษิณว่านายกฯ ทักษิณ แต่เขาเรียกนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่าคุณอภิสิทธิ์ ผมถึงบอกว่าผมเสียดายคุณภาพของคน แล้วผมเสียดายคุณสรยุทธ์ คุณสรยุทธ์คนเดิมหายไปแล้ว แกกลายเป็นคนประเภทไหนผมไม่รู้เหมือนกัน ผมคิดว่า หนังสือที่แกเขียน กรรมกรข่าว กับสิ่งที่แกทำมันเหมือนแกเขียนหนังสือโกหก มันไม่ได้เลย
จินดารัตน์- มิน่าคนถึงคืนไปเยอะ
สนธิ- คืนเยอะ คนเคยซื้อหนังสือกรรมกรข่าวคุณสรยุทธ์ส่งคืนไปหมดเลย เขาบอกเขาไม่กล้าให้คนอื่นเพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเสียไปด้วย เลยส่งให้คนเขียนคืนไปเลย
จินดารัตน์- คุณสนธิชีวิตจะอยู่บนความเครียดตลอดเวลาหรือเปล่า รู้ว่าปล่อยวางได้ ชีวินนอกเหนือการชุมนุมแล้วทำอะไรบ้าง ฟังเพลงบ้างไหม ดูหนังเข้าโรงหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่จำได้
สนธิ- จำได้ ไปดูหนังเรื่องสามก๊ก ตอนนั้นกำลังประท้วงอยู่ แต่อยากดูสามก๊กมาก เพราะอยากดูจอห์น วู ซึ่งเป็นผู้กำกับ จะกำกับยังไง ไม่รู้จะดูยังไง จะไปเข้าตามคิวก็ไม่ได้ เลยโทรศัพท์ไปหาเจ้าของโรงหนัง คุณพูน วรรักษ์ ก็บอกแกอยากดูหนังพาพรรคพวกไป แกก็ดีนะ
จินดารัตน์- แกจัดให้
สนธิ- แกปิดโรงให้ 1 โรง แต่ต้องไปเช้า ไม่มีใครนึกว่าเราจะไปดู รอบพิเศษ
จินดารัตน์- ซึ่งพนักงานแตกตื่นกันมาก
สนธิ- จริงๆ แล้วผม ตอนช่วงเช้าๆ ผมเป็นคนซึ่งไหว้พระไหว้เจ้าตลอด ผมเช้าที่ทำงานผมจะไหว้องค์จตุคามรามเทพ
จินดารัตน์- นี่คือห้องพระที่ทำงาน
สนธิ- นี่ห้องพระผม นี่เป็นห้องพระใหญ่ ผมจะจุดธูป ผมจะไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน ไหว้เสร็จเรียบร้อยแล้วผมจุดธูปอีก 1 ดอก ไปไหว้เจ้าของบ้าน ท่านเจ้าพระยาวรพงษ์ พิทักษ์ ผมไหว้เป็นประจำทุกวัน เสร็จแล้วไหว้พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ซึ่งเป็นโต๊ะหมู่บูชาของท่านโดยเฉพาะ บนโต๊ะหมู่บูชาท่านมีอัฐิ ซึ่งพ่อแม่พี่น้องหลายท่านอาจจะสนใจ มีอัฐิหลวงปู่เสาร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น แล้วมีอัฐิหลวงปู่มั่นอยู่ด้วย อัฐิกลายเป็น เหมือนพระธาตุกลมๆ ข้างนอกบ้านจะไหว้ ท้าวจตุรงคบาท พระพุทธเจ้ามีท้าวจตุรงคบาท 4 องค์คอยปกป้อง เราใช้ท้าวจตุรงคบาทเป็นคนปกป้องบ้านพระอาทิตย์ แล้วสัมผัสท่าน ข้างล่างจะมีไหว้จตุคาม เสร็จแล้วไหว้พระอุปคต ไหว้ท่านจตุคามรามเทพ ธูป 5 ดอก
จินดารัตน์- นี่คือกิจวัตรประจำวัน
สนธิ- ทุกครั้งที่เข้าที่ทำงาน แม้กระทั่งวันหยุดก็มาไหว้ แล้วไปไหว้พระอุปคต ซึ่งท่านเป็นพระที่จะต้องอยู่ในน้ำ หรือที่เขาเรียกว่า พระบัวเข็ม
จินดารัตน์- ฐานจะเป็นน้ำ
สนธิ- แล้วท่องคาถาท่าน เสร็จแล้วไปไหว้พระแม่ธรณี ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน เสร็จแล้วไปไหว้ศาลพระเจ้าตาก เพราะท่านเป็นคนกู้ชาติกู้บ้านกู้เมือง แล้วไหว้พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางตายาย ทำอย่างนี้ทุกวัน เสียเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ไหว้พระที่ห้องพระจะสวดมนต์ แล้วระลึกถึงครูบาอาจารย์ นี่เป็นห้องทำงานผม จะเข้าเช็กเว็บไซต์ตลอดเวลาเพื่อให้คำแนะนำพวกคนที่ทำว่าเป็นยังไง
จินดารัตน์- มีคุณผู้ชมทางบ้านถามมาว่า คุณสนธิไหนบอกเป็นลูกจีน แล้วทำไมเป็นเจ้าของบ้านพระอาทิตย์กับบ้านเจ้าพระยาได้
สนธิ- บ้านเจ้าพระยานี่เช่า บ้านพระอาทิตย์ผ่อนส่ง
จินดารัตน์- ยังผ่อนอยู่
สนธิ- ผ่อนอยู่ ยังเป็นหนี้เขาอยู่ บ้านพระอาทิตย์ ออฟฟิศแต่ก่อนจะอยู่ติดบ้านพระอาทิตย์ เป็นตึกแถว ผมเช้าๆ จะมองลงมาบ้านพระอาทิตย์ มีความรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก มีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นยังเป็นเพิงหญ้า สมัยก่อนเป็นสถาบันเยอรมัน สถาบันเกอร์เต้ มองก็ชอบๆ ไม่รู้เป็นยังไง เหมือนกับว่าชาติก่อนเราเคยอยู่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วันนึง ตอนนั้นมีเงินอยู่ไปถาม วันนั้นไปกินอาหารเที่ยงที่โรงแรมปริ๊นเซส ห้องอาหารญี่ปุ่น มิตะโดะ ไปเจอพี่ชูชีพ ศิลป์นพรัตน์ อดีตผู้อำนวยการเขตพระนคร แกเสียชีวิตไปแล้ว สนิทกันมาก แกอยู่เขตพระนคร ผมบอก พี่ชีพใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ อ้าวพี่เอง พี่วางมัดจำไว้ 10 ล้าน แล้วทำไมพี่ไม่เอา พี่พาหลวงตาจัน วัดป่าไชยรังษี ไปดู ท่านบอกว่าเขาไม่ให้มึงอยู่ แล้วพี่จะทำยังไง เดิมทีพี่จะซื้อให้ลูก แล้วพี่ต้องการสร้างเป็นคอนโด ปรากฏว่าบ้านพระอาทิตย์ขึ้นทะเบียนกรมศิลปากร ทุบไม่ได้ มันไม่คุ้ม บอกพี่ดีแล้วทุบได้ไงบ้านหลังนี้มันจะ 100 ปีแล้ว ประวัติศาสตร์ยาวนาน เอาไหมสนธิเอาไหม จ่ายเงินค่ามัดจำคืนพี่แล้วเอาไปเลย ก็เลยจ่ายคืน ปรากฏว่า เป็นบ้านของต้นตระกูลอิสระเสนา ท่านเจ้าพระยาวรพงษ์ ชื่อ ม.ร.ว.เย็น อิสระเสนา
จินดารัตน์- ในบ้านยังมีรูปภาพ
สนธิ- ไม่มี เราไปหามา ผมเคารพเจ้าของบ้าน ผมไปหาจนได้รูปเจ้าของบ้านมา ก็มาบูชาเขา อยู่บ้านใครก็ต้องบูชาเขา
จินดารัตน์- แต่มีรูปผู้หญิงคนนึง ขอดูภาพ
สนธิ- อันนี้รูปท่านเจ้าพระยาวรพงษ์
จินดารัตน์- นี่คือต้นตระกูล
สนธิ- ต้นตระกูลอิสระเสนา แล้วเป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริง แล้วมีรูปไหนครับ
จินดารัตน์- จะมีรูปผู้หญิงอยู่คนนึงค่ะคุณสนธิ เป็นรูปคุณแม่
สนธิ- อ๋อนี่คุณแม่ผม คุณแม่ผมเสียชีวิตไปนานพอสมควร
จินดารัตน์- เดินเข้าไปในบ้านพระอาทิตย์ ในออฟฟิศคุณสนธิจะเห็นภาพนี้ก่อนเลย
สนธิ- รูปนี้ คุณแม่ผม รูปนี้ อ.จักรพันธุ์ วาดให้ จะบูชาด้วยดอกมะลิทุกวัน
จินดารัตน์- นี่นะคะที่ใส่กางเกงกุยเฮง
สนธิ- นี่แหละใส่กางเกงกุยเฮง ขอให้รู้ไว้ซะด้วยนะครับ ผมมีความรู้สึกว่า พวกเราจะอยู่บ้านหลังไหนก็ได้ ขอให้เราระลึกถึงเจ้าของบ้านเก่า ดีๆ ชั่วๆ เราไม่รู้จักเราต้องไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้ดวงวิญญาณที่อยู่ที่นั่น อย่างน้อยจุดธูปสัก 5 ดอก บนบานบอกเขา บอกว่าเรามาขออยู่บ้านหลังนี้นะ แล้วปักบนสนามหญ้าก็ได้ นานๆ ที สัก 2-3 เดือน นิมนต์พระมาทำบุญให้เขาสักทีนึง ของแบบนี้เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องจิตวิญญาณปฏิเสธไม่ได้ แล้วเป็นอะไรบางอย่างซึ่ง มันสบายใจเรา ในขณะเดียวกันคนที่คบเรารู้ว่าเราเป็นคนให้ความเคารพคน เจ้าที่เจ้าทางมีอยู่เราไม่ดูถูกดูหมิ่นเขา
จินดารัตน์- ได้ข่าวว่าช่วงชุมนุม อ.ภูวดล เคยไปนอนที่บ้านพระอาทิตย์แล้วมีคนมาเยี่ยมเยียนด้วยหรอคะ
สนธิ- ผมก็ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวจะหาว่าผมเล่นไสยศาสตร์อีก เอาเป็นว่าบ้านพระอาทิตย์เป็นบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ ข้อที่ 1. เราเอาธรรมนำหน้า ข้อที่ 2. พระพุทธรูปที่อยู่ในห้องพระใหญ่ องค์จตุคามรามเทพ ศาลพระเจ้าตากสิน หรือวัตถุโบราณ ผมมีแม้กระทั่งสิ่งศักดิ์ของหลวงปู่เย็น องค์พระอรหันต์ทั้งหลายสายพระอาจารย์มั่นมีแทบทั้งนั้น เรากราบไหว้บูชา เราสวดภาวนาทุกวัน ช่วงที่ต่อสู้บางคืนผมมานั่งสมาธิ กลางคืนที่ห้องพระ นอนที่นี่ มันมีความเย็น ผมคิดว่าที่ไหนก็ตามถ้าเราอยู่ด้วยความเคารพ ถ้าเราอยู่ด้วยจิตที่มั่นคง ถ้าเราอยู่ด้วยจิตที่ใส่บริสุทธิ์ ที่นั้นศักดิ์สิทธิ์
จินดารัตน์- แต่น้องๆ ไม่ค่อยกล้า
สนธิ- เป็นปรากฏการณ์ซึ่งผมไม่เคยเจอ เป็นคนเดียวที่ไม่เคยเจอ แต่คนอื่นจะเจออยู่เรื่อย
จินดารัตน์- แม้กระทั่งพวกมาปาระเบิด
สนธิ- พวกปาระเบิดก็แปลก ปาไม่เข้า แปลกมาก แต่นี่เรื่องจริง แม่บ้านที่ทำงานอยู่ทั้ง 2 คน เจอบ่อยจนชิน
จินดารัตน์- เสมือนเป็นครอบครัว
สนธิ- เป็นครอบครัวไปเลย บางวัน วันดีคืนดีจะเห็นผู้หญิงแต่งชุดสไบสวยเดินลงจากข้างบน แต่ผมไม่เคยเห็น
จินดารัตน์ -แต่น้องจูนเคยเล่าให้ฟัง ทีมงาน พี่น้องจำได้ไหมคะ น้องจูนจะเป็นเวทีที่ทำเนียบ วันดีคืนดีคุณสนธิบอกว่า จูนไปดับธูปในห้องพระซิ น้องจูนเดินไปในห้องพระ ไหนล่ะธูปไม่เห็นมีธูปสักดอก ไม่มีธุปจุดแต่มีกลิ่นธูป พอเดินออกมาปุ๊บจูนยกมือไหว้เลย นายขาไม่มีธูปค่ะ ธูปไม่ได้จุดอยู่ คือเขาจะเจอกันแบบนี้นะคะ แต่ไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวจนเกินเหตุ
สนธิ- แต่แม่บ้านเคยเจอผู้หญิงที่แต่ชุดไทยแล้วเดินลงจากบันได สวย แต่ผมไม่เคยเจอ บางทีผมนั่งอยู่ข้างล่างได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างบนเขานึกว่าผมอยู่ข้างบน ข้างบนไม่มีใครเลย พอเขาเห็นหน้าผมอยู่ข้างล่างเหมือนผีหลอก ตกใจ
จินดารัตน์- แล้วใครอยู่ข้างบน
สนธิ- ผมเป็นคนชอบทำงานดึกๆ ที่บ้านพระอาทิตย์
จินดารัตน์ -แต่ไม่เคยได้ยินเสียงอะไร
สนธิ- ไม่มี อาจจะเป็นเพราะ หนึ่ง จิตเราหนักแน่นมั่นคงและเราไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เวลาผมไหว้พระห้องใหญ่ ผมไหว้ธูป 3 ดอก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสร็จแล้วผมจุดอีก 5 ดอก ผมระลึกถึงเจ้าที่ที่อยู่ในห้องพระ ที่อยู่ในบ้าน อยู่รอบๆ บ้าน อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วก็ปัก ก็เรียบร้อยไม่มีอะไร ข้างหลังห้องรับแขกเป็นที่วางศพ สมัยก่อนสมัยโบราณ เป็นที่วางศพ คนโบราณตายไม่เอาศพไปไว้ที่ห้องพระ เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นไปได้ นี่เป็นภาพวาดครับ ผมเป็นคนชอบภาพวาดมาก มีภาพวาดจากประเทศจีน จากศิลปิน นี่เป็นภาพวาดเหมือน ศิลปินชื่อ หวัง อี้ตง เป็นศิลปินที่วาดภาพได้สวยที่สุด อันนี้เป็นภาพวาดของจีน เป็นภาพโมเดิร์น เป็นผู้หญิงซึ่งผมซื้อมาจากเขา จะมีอยู่หลายๆ ภาพ มันเป็นอาร์ทแกลอรี่ซึ่งฝรั่งจะชอบมาก ผมเป็นคน เป็นภาพผู้หญิงที่สิบสองปันนา นี่เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 ภาพนี่เป็นภาพนางสนมสมัยราชวงศ์ชิง วาดโดยจ่าง กั๋วฟัง ภาพนี้ผมจ้างเขาวาดเมื่อปี 2535 16-17 ปีที่แล้ว ตอนนั้น 20,000 เหรียญ 500,000 บาท เขาวาดให้เสร็จแล้วบอก อย่าเอาไปแสดงที่ไหนให้เก็บไว้ที่บ้าน ผมบอกทำไม เขาบอกเขาวาดอยู่ภาพหนึ่งให้อีกคนหนึ่งเป็นชาวสวิตซ์ ให้แกลอรี่ แล้วเขาขายไปแล้ว เขาเลยบอกให้เก็บไว้ที่บ้าน มีตั้งไม่รู้กี่คนขอให้เอาภาพนี้ไปแสดง เพราะทั้งแสง ทั้งอะไรดีหมดเลยทุกอย่าง จ่าง กั๋วฟัง ผมต้องเล่าให้ฟังนิดนึง สมัยก่อนเขาชำนาญวาดภาพวัวควาย วันนึงเขาวาดรูปวัวดุ เหมือนวัวบ้า ปรากฏว่าคอมมิวนิสต์สั่งห้ามวาดรูปวัว เหตุผลเพราะวัวที่วาดพรรคคอมมิวนิสต์คิดว่าด่าพรรคคอมมิวนิสต์ว่าเป็นคนดื้อ นี่ไงวัว ฝีมือคนวาดภาพนางสนม ตอนหลังเปลี่ยนจากวาดภาพวัวมาวาดภาพนางสนมแทน วาดภาพผู้หญิงแทน วาดได้เหมือนมาก ภาพพวกนี้ส่วนใหญ่ผมจะซื้อเมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว นี่คือภาพผู้หญิงทิเบต วาดโดย อ้าย สุวรรณ อ้าย สุวรรณ พ่อเขาถูกจับจากพรรคคอมมิวนิสต์ข้อหาเป็นชนชั้นปกครอง เขาเลยโตมาด้วยความคั่งแค้น พ่อเขาและตระกูลเขาถูกส่งไปลี้ภัยที่ทิเบต เหมือนถูกส่งไปไซบีเรีย ความที่พ่อเขาเป็นศิลปิน เขาเลยชำนาญภาพทิเบต อ้าย สุวรรณ ตอนนี้มีมูลค่า นี่ภาพนี้วสันต์ สิทธิเขต มอบให้หลังจากที่เราประท้วงเสร็จ นี่ฝีมือวสันต์ สิทธิเขต
จินดารัตน์- เป็นเอกลักษณ์มาก
สนธิ- เป็นเอกลักษณ์
จินดารัตน์- อันนี้เป็นทิเบตหรือเปล่าคะ
สนธิ- เป็นทิเบตเหมือนกันครับ แต่เป็นศิลปินคนละคนกัน
จินดารัตน์ - คุณสนธิมีคำถามจากทางบ้านมาเยอะเกี่ยวกับครอบครัว บอกว่าอยากให้คุณสนธิพูดถึงลูกชาย ที่สำคัญจะสู่ขอลูกชายคุณสนธิจะทำยังไง มีสเปกไหม
สนธิ- นายปั๊บชื่อ จิตตนาถ คุณตาเขาเป็นคนตั้งให้ คุณตาเป็นทนายความใหญ่ ชื่อ คุณป๋าสุด ช่องดารากุล แกเสียไปนานแล้ว วันนี้ท่านมีชีวิตอยู่น่าจะอายุประมาณ 100 คุณป๋าสุดเป็นคนที่คุณชวน หลีกภัย พี่ชวน รักและเคารพมาก ใครที่เคยไปตรัง จะเห็นว่า ข้างๆ ศาลากลาง ตรงเนินเขา จะมีบ้านหลังใหญ่ คือบ้านป๋าสุด แกเป็นทนายความว่าความให้คนจน แกเป็นคนซึ่งมีปรัชญาอะไร แกชอบเขียนป้ายไว้ที่หน้าบ้านแก บอกว่า การยืมเงินทำให้เสียเพื่อน แต่ถ้าใครเดือดร้อนแกก็ให้ยืมนะ
จินดารัตน์- แปะไว้หน้าบ้านเลยหรอคะ
สนธิ -แปะไว้หน้าบ้านเลย นายปั๊บป๋าสุดเป็นคนตั้งชื่อให้ ชื่อ จิตตนาถ คือจิตใจสำคัญ แล้วเขาเป็นคนซึ่ง ตอนเด็กๆ เขาค่อนข้างโชคดีเพราะเขา คุณแม่เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มศว ประสานมิตร เด็กเขาเรียนที่ประสานมิตร จนกระทั่งจบ ป.6 หรือ ป.7 เขาไปต่อที่สาธิตปทุมวัน เรียนสาธิตปทุมวันได้สักถึง ม.4 เลยส่งเขาไปเรียนออสเตรเลีย ไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลีย จบไฮสคูลออสเตรเลียแล้วเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียได้ คือยูคิว สาขาเศรษฐศาสตร์ เขาเป็นคนมีความคิดอิสระ แต่เขาโชคร้ายตรงที่เขาต้องเดินตามรอยเท้าผม พอเขามาทำงานในวงการนี้ เงาผมมันใหญ่มากเกินไป ความจริงเขาเป็นคนเก่ง คนเลยดูว่าเขาทำงานสำเร็จเพราะพ่อเขา จริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่ผมไม่ได้มีหน้าที่มาปกป้องเขา ผมเคยพูดกับเขาตรงๆ บอกปั๊บต้องทนนะ เพราะปั๊บอยู่ภายใต้เงาของป๋า ปั๊บทำให้ดีแค่ไหนก็ตาม คนก็จะบอกว่า ก็พ่อมันสนธินี่หว่า เขาก็อดทน แต่เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีอะไรหลายอย่าง ทีนี้ปีนี้อายุ 34 แล้ว
จินดารัตน์- แต่คุณปั๊บเลือกจะเดินรอยตามพ่อ
สนธิ- เขาชอบอันนี้
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่ได้บังคับ
สนธิ- ไม่บังคับ
จินดารัตน์- ไม่เคยวาดความหวังกับลูก
สนธิ- ไม่เคย เขาจะทำอะไรก็ทำ แม้กระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วผมยังนั่งจับเขาคุยกับเขาเลย เมื่อสัก 1-2 อาทิตย์ ผมบอก ปั๊บต้องตัดสินใจนะ จากนี้ไปว่าปั๊บจะทำหนังสือพิมพ์ ทีวี เว็บไซต์ ต่อหรือเปล่า ต่อจากป๋า
จินดารัตน์- ทำไมถึงให้ลูกตัดสินใจ
สนธิ- เพราะว่า ถ้าปั๊บจะทำต่อ ปั๊บต้องรู้ว่า หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ASTVทีวีของประชาชน แล้วเว็บไซต์ มันจะต้องเป็นสื่อมวลชนที่ต้องต่อสู้ตลอดเวลา ปั๊บพร้อมจะสู้ไหม ภูมิคุ้มกันปั๊มสู้ไหวไหม ไม่เหมือนป๋า ป๋าอยู่ในวงการบู้ลิ้มมาตั้งแต่เด็ก ป๋าผ่านหอก ผ่านดาบ ผ่านลูกปืน ผ่านทุกอย่าง ความกดดันมาจนกระทั่งป๋ามีภูมิคุ้มกันได้แล้ว แต่ปั๊บเจริญเติบโตมาไม่เหมือนกัน ปั๊บโตมาอย่างทะนุถนอม แล้วตอนที่ปั๊บเรียนหนังสือที่เมืองนอก ปั๊บก็ไม่ต้องทำงานอะไรมากมาย ไปอยู่ควีนส์แลนด์ก็ซื้ออพาร์ตเมนต์ติดแม่น้ำบริสแมน ผมเรียนอยู่ยูซีแอลเอ ผมตื่นตี 5 เดินไปทำงานร้านขายโดนัท 6 โมง 2 ชั่วโมง เพื่ออะไรรู้ไหม เพื่อกินโดนัทฟรี ไม่ต้องซื้ออาหาร แล้วเดินไปมหาลัย 11.30 น.ทำงานที่ห้องอาหารของมหาลัยเพื่อกินอาหารฟรี บ่ายโมงครึ่งออก เย็นทำงานห้องสมุด ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เพื่อจะหาเวลาอ่านหนังสือแล้วได้เงินด้วย ซัมเมอร์ไปทำงานที่เลคธาโฮ บ่อนการพนัน ไปเสิร์ฟอาหาร เพราะฉะนั้นชีวิตผมกับชีวิตเขาไม่เหมือนกัน ผมเลยถามเขาบอกว่า ถ้าจะเอาต้องเตรียมตัว ถ้าคิดว่าสู้ไม่ไหวอย่ามาทำ ก็ไปทำงานซึ่งมันไม่เกี่ยวกับการเมือง เช่น เขามีนิตยสารหลายเล่มที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง นิตยสารธุรกิจ นิตยสารโพซิชั่นนิ่ง นิตยสารทางบันเทิง นิตยสารมาร์ส แคมปัส การ์ตูน ให้เขาทำไป เขาก็ดีนะ เขาบอก ขอเขาคิด 1 ปี ผมก็บอกว่าภายในปีหน้าถ้าผมไม่ตายก่อนเขาก็ต้องบอก
จินดารัตน์- ถ้าได้คำตอบว่าไม่ทำละคะคุณสนธิ
สนธิ- ผมก็ไม่ว่าอะไรเขา เป็นชีวิตที่เขาต้องเลือก แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องคิดหนักเรื่องนี้ เพราะเขาก็ร่วมสู้กับพวกเรามา แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่การสู้ ความกดดันทางการเมือง อีกอย่างหนึ่งเขาโตมากับผมโตไม่เหมือนกัน เพื่อนรุ่นเดียวกับเขาก็เป็นพวกไฮโซทั้งนั้น ไฮโซไฮซ้อประเภทซึ่งลับหลังก็ด่าพวกเรา ประเภทที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปิดสนามบิน ปิดทำไมเสียหมด ผมกลัวว่าเขาจะหวั่นไหว แต่ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนมีวิจารณญาณที่ดี เขาจะตัดสินใจอะไรผมยอมรับการตัดสินใจเขา เพราะเป็นชีวิตเขา แต่ว่า เขาจะตัดสินใจยังไงก็ตาม ผมยังมั่นใจว่า เขาจะเจริญเติบโตต่อไปเขาเป็นคนดีแน่นอน เพราะชีวิตเขาไม่เคยเอาเปรียบสังคม เขาเป็นคนเหมือนผมนะ ใครถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาจะทนไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่รังแกประชาชน
จินดารัตน์- มีคนเคยเขียนบทความหนึ่งคุณสนธิคะ เขาบอกเขาเชื่อมั่นในตัว 5 แกนนำ โดยเฉพาะคุณสนธิ เมื่อก่อนคุณสนธิเป็นยังไงเขาไม่สนใจ แต่วันนี้เขารู้แต่ว่า ความดีเอาชนะพวกเขาเหล่านี้แล้วทั้ง 5 คน คุณสนธิรู้สึกยังไงคะ
สนธิ- ผมก็ภูมิใจนะ คือในการสู้ การโจมตีกันในเรื่องของอดีตมันมีแน่นอน ผมถึงบอกกับพ่อแม่พี่น้องที่สนามหลวง ที่ผมก้มลงกราบพ่อแม่พี่น้องว่า อดีตดีก็มากเลวก็หลาย แต่วันนี้ขอทำความดีให้ชาติบ้านเมือง ถ้าหากจะไล่ความเลวกัน ผมเชื่อว่าสมัยผมหนุ่มๆ ผมก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน หรือว่าสมัยที่ผมยโสโอหัง ทำธุรกิจข้ามชาติ ผมก็เป็นคนซึ่ง โทษนะพูดจาหยาบนี่ กวนตีน คนเห็นผมหมั่นไส้ เพราะผมกร่าง แต่ผมคิดว่าผมผ่านช่วงเวลาทดสอบอันนั้นไปแล้ว และผมผ่านประสบการณ์และบทเรียนที่เจ็บปวด ผมเป็นคนรู้ตัวเอง ถ้าผมผิดผมบอกผมผิด ผมจะยอมรับว่าสมัยก่อนผมยโสโอหัง นัยตาอยู่บนศรีษะ ไม่เคยเห็นคนอยู่ในสายตา ผมยอมรับว่าผมเป็นคนเลวอย่างนั้นจริงๆ
จินดารัตน์- ขนาดนั้นเลยหรอคะ
สนธิ- โอ้โฮคุณ จริงๆ แล้วผมหวังว่าทักษิณคงจะเรียนรู้อะไรจากผมได้บ้าง เผื่อเขาจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้บ้าง แต่ผมดูแล้วเขาคงไม่มีความหวัง ที่สำคัญที่สุดคือคนเราต้องรู้ตัวเอง ในหลักธรรม วันแรกที่ผมบวชกับหลวงพ่อญา ท่านสั่งให้ผมไปอยู่กุฎิแล้วไม่ให้ใครมาเจอผม ท่านห้ามพระทุกรูปไม่ให้มาคุยกับผม
จินดารัตน์- เพื่ออะไรคะ
สนธิ- ท่านบอก เพื่อให้อยู่กับตัวเอง จะได้รู้จักตัวเอง มีคนเดียวที่จะคุยกับผมคือท่าน ท่านจะมาหาผม วันแรกยังจำได้เลย บิณฑบาตเสร็จท่านมาถึงท่านนั่ง ท่านสอนวิธีเคี้ยว
จินดารัตน์- เคี้ยวข้าวทำไมต้องสอน
สนธิ- ท่านเคี้ยวให้ ท่านสอนเคี้ยวเพื่อให้มีสติในการเคี้ยว ให้รู้ว่าเคี้ยวกี่คำ ถ้านับถูกว่าเคี้ยวก่อนกลืน 21 คำ แสดงว่ามีสติการเคี้ยว แล้วพอกลืนข้าวเข้าไป ให้เอาจิตจับข้าวไหลจากลำคอลงสู่ท้อง ท่านสอนแบบนี้ แต่หลังจากนั้นแล้วท่านไม่ให้ใครมาพูดเลยนะ ผมบวชอยู่ไม่ได้พูดกับใครเลย อยากจะพูดกับหมาหน้ากุฎิ พูดแล้วมันก็ฟังผมไม่รู้เรื่อง แต่ว่ามันได้ประโยชน์ เวลาคุณอยู่กับตัวคุณเองคุณมีเวลาทบทวนตัวเอง คุณฉายหลังเก่าในชีวิตคุณมาดู พอฉายหนังเก่าแล้ว เออกูนี่เหี้ยจริงๆ สมัยก่อน เหมือนคนปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมถึงจุดๆ หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วเดินจงกรมแล้ว นั่งระลึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ น้ำตาจะไหล เหมือนพระอรหันต์ พระที่มีฌานสมาบัติสูงๆ ที่ระลึกชาติได้ พอระลึกไป 5 ชาติ 10 ชาติแล้วน้ำตาไหลทุกคน แล้วตัดสินใจเลยว่าชาติหน้าไม่ขอเกิดอีกแล้ว นี่คือที่มาของคำว่า เวียนว่ายตายเกิน บางคนเกิดเป็นขุนศึก เป็นแม่ทัพประเทศนึง พอตายก็เกิดเป็นนักรบอีกประเทศนึง เกิดมาตายคือเกิดมาเพื่อฆ่าคนแล้วถูกฆ่า นั่นคือที่มาของคำว่า นิพพาน หลุดพ้นไปเลยไม่ต้องเกิด ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมถึงขั้นที่เรียกว่า อะไรถ้าผมทำผิดผมยอมรับ แล้วผมไม่อับอายที่จะมาพูดต่อหน้าประชาชนพ่อแม่พี่น้อง เพราะทุกวันนี้ผมไม่มีความลับ ผมเคยเป็นอะไรผมบอกหมด ผมไม่ต้องมาซ่อนเร้นทั้งสิ้น
จินดารัตน์- ในช่วงการต่อสู้ เวลาสิ้นเดือนแต่ละครั้งพนักงานใจแทบขาดสงสารเจ้านาย จะหาเงินที่ไหนมาให้เงินเดือนพนักงาน แต่เห็นยิ้มทุกเดือน แต่ในรอยยิ้มไม่กล้าถาม คุณสนธิเจ็บปวดไหม เหนื่อยไหม หรือท้อใจบ้างไหม หรือสักครั้ง รู้อย่างนี้ไม่มาสู้กับมันดีกว่าทักษิณ เคยคิดไหมคะ
สนธิ- ไอ้ที่ยิ้มไม่มีใครรู้ เหมือนกับผมต้องยิ้มอยู่บนเวทีทั้งๆ ที่ผมเจ็บ ผมต้องยิ้มเพราะอะไรรู้ไหม เพราะถ้าผมไม่ยิ้มทุกคนเสียกำลังใจ
จินดารัตน์- เหมือนแม่ทัพ
สนธิ- แม่ทัพบาดเจ็บแล้วแสดงความเจ็บตัวทัพแตกแน่ แต่ว่าเรายิ้มต่อหน้าแอนเราไม่ต้องให้แอนกังวล จำได้ไหมตอนที่เงินเดือนออกช้า เราบอกว่า ตอนนี้เอาไป 25 เปอร์เซ็นต์ก่อนนะ ที่เหลือเงินกำลังมาไม่เกินอาทิตย์ แอนรู้ไหม 25 เปอร์เซ็นต์ที่ได้ไปที่บอกกำลังมาไม่เกินอาทิตย์นี่ผมยังไม่รู้เลยจะมาจากไหน แต่ผมต้องตอแหลไปก่อนเพื่อให้พวกแอนรู้สึกว่าอีกอาทิตย์นึงคงได้ แล้วอีกอาทิตย์ยังไม่มา ผมจะบอกว่าเช็กกว่าจะผ่านอันนู้นอันนี้เพื่อให้รู้ว่ามาแล้วแต่ยังไม่บรรลุ แต่ต้องให้กำลังใจ
จินดารัตน์- ใช้วิธีนี้ก็ดีนะคะพวกหนูจะได้ไม่ต้องรับรู้ความจริง
สนธิ- บางครั้งผมมีหน้าที่ สมัยก่อนผมชอบเล่นรถยนต์ แอนก็เห็น แอนก็รู้ผมขายไปกี่คันแล้ว
จินดารัตน์- แอนเคยถามคุณสนธิแอนจำได้ ขายรถคเยนไป
สนธิ- พอสคเยน ปอร์เช่คเยน
จินดารัตน์- ถามคุณสนธิไม่เสียดายหรอคะ คุณสนธิพูดว่า แอนจำไว้นะ รถมันคือทรัพย์สินนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้อย่าไปเสียดายมัน แอนฟังแล้วก็อึ้ง เรารู้สึกเลยว่าโตโยต้าเก่าๆ ของเรามีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลยพี่น้อง
สนธิ- ผมได้บทเรียนเรื่องนี้ คำพูดที่แอนพูด จากหลวงพ่อญา ตอนที่ผมล้มละลายผมเรียนท่าน ท่านบอก ดีแล้วพ้นทุกข์ พ้นโศก พ้นภัย ผมบอกอ้าวทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ท่านบอก เสียอะไรเสียไปรักษาใจให้ดี เสียอะไรเสียไปอย่าเสียไป ท่านบอกว่า ที่มีเงินมีทอง มีเสื้อผ้า มีอยู่ 300,000 กว่าล้านของคุณทักษิณ มีรถคเยน มันเป็นของนอกกายใครๆ ก็เอาไปได้ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครเอาไปได้เลยคือ จิตใจเรา เพราะฉะนั้นท่านบอก ทรัพย์สินที่แท้จริงของพวกเรา ของมนุษย์มันอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นรักษาใจได้ ไม่เสียใจ เข้มแข็ง นี่คือทรัพย์สินที่มหาศาล ไม่มีใครเอาของเราไปได้เลย ถ้าเรารักษาใจไว้ได้โดยไม่เสียใจ เราจะไม่มีวันจน นี่จะถึงเวลาเคาท์ดาวน์แล้วมั้ง
จินดารัตน์- เกือบแล้วค่ะ ขอเป็นคำถามสุดท้ายแล้วกันนะคะ พี่น้องเราจะอยู่เคาท์ดาวน์ร่วมกันนะคะ ถือว่าเราก้าวข้ามปีที่สุดแสนจะทรหดอดทนไปด้วยกัน คำถามสุดท้าย แอนขออนุญาตถามคุณสนธิ ในชีวิตนี้เคยคิดอยากทำอะไรแล้วยังไม่ได้ทำก่อนที่ตัวเองจะตายไปมีไหมคะ
สนธิ- ไม่มี เพราะว่าต้องยอมรับว่าใจผมสงบมากช่วงหลัง ผมกลายเป็นคนที่ถึงจุดๆ หนึ่งผมจะบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
จินดารัตน์- เราทุกข์เพราะเราคาดหวัง
สนธิ- ถูกต้อง ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เพราะมันเป็นเรื่องสมมุติ ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ ทุกอย่างสมมุติหมดเลย ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นไม่ติดใจ เพราะเป็นเรื่องสมมุติ เหมือนเราอยู่เฉยๆ ลมพัดโดนตัวเรามันเย็นใช่ไหม เราไปยึดติดความเย็น แต่พอลมหายไปแล้วมันไม่เย็นแล้วนี่ มันสมมุติไง เท่านั้น เพราะฉะนั้นผมเลยไม่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้อยากทำอันนี้ก่อนตาย สำหรับผมไม่มีความหมาย จิตให้นิ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น พอใจแล้วแค่นั้น ขออย่างเดียว เวลาทำตั้งใจทำเต็มใจทำและสบายใจที่ได้ทำ ทำให้ดีที่สุด แล้วพยายาม ผมพูดหลายครั้งทุกคนคงจำได้ อย่าพูดคำว่า แหมถ้ากูรู้อย่างนี้
จินดารัตน์- มีบางคนบอกว่า คุณสนธิสู้มาเยอะนะ หมดเนื้อหมดตัวแทบไม่เหลืออะไรแล้ว
สนธิ- เหลือเยอะเลย
จินดารัตน์- เหลืออะไรคะ
สนธิ- พี่น้องทั้งประเทศ ยิ่งกว่าเงินทอง เงินทองไม่มีความหมาย พี่น้องทั้งประเทศมีความหมายมากกว่า
จินดารัตน์- 193 วันต่างจากเมื่อปี 48 49
สนธิ- มหาศาล มหาศาลเพราะพี่น้องทั้งประเทศตื่นแล้ว แล้วเห็นพ้องต้องกัน
จินดารัตน์- นอนตายตาหลับแล้วคุณสนธิ
สนธิ- นอนตายตาหลับแล้ว อันนี้เรื่องจริง พรุ่งนี้ตายก็หลับแน่นอน
จินดารัตน์- จริงยังมีคำถามอีกเยอะที่ส่งเข้ามาจากทางบ้านด้วย แต่ว่าจะข้ามปีเก่าไปปีใหม่เดี๋ยวเราจะไม่ได้เคาท์ดาวน์กัน เหลือเวลาอีกสัก 1-2 นาที แอนขออนุญาตอ่านหมายเลขที่จับสลากกันได้ รูปนะคะ มีแค่ 36 รูป พร้อมลายเซ็นคุณสนธิ 014,037,017,104,083,029,045, 93, 029,177,122,125,082,137,004,057,27,072,087,025,152,042,130,033,002,008,142,041,038,032,119,112,143,096,015 และ 095 ค่ะ
สนธิ- นาฬิกาตรงหรือเปล่า
จินดารัตน์- อันนี้ไม่ตรงค่ะคุณสนธิ ของแอนตรง จะหมดแล้วคะ อีก 2 นาทีหรอคะ ข้างในบอกอีก 2 นาที ที่ไม่ได้รูปได้ปฏิทินกับผ้าพันคอ เดี๋ยวไปรับด้านหน้า
สนธิ- ผ้าพันคอมีลายเซ็นด้วย
จินดารัตน์- ผ้าพันคอมีลายเซ็นคุณสนธิด้วย เอาเป็นว่าท้ายที่สุดนี้พี่น้องขา เราจะยังอยู่ด้วยกันใช่ไหมคะ ยืนยันด้วยเสียงหน่อยซิคะ แอนรู้ว่าการเป็นคนของประชาชน เป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องลำบากนะคะไม่สบาย คุณสนธิไม่เคยไปเดินห้าง ไม่เคยเดินมานานแล้ว เพราะไม่รู้จะไปยังไง เรียกว่าความเป็นส่วนตัวมันหายออกไปจากชีวิตเลย ไปกินข้าวที่ไหนต้องจ่ายแพงกว่าชาวบ้านเพราะคำนวณราคาไม่ถูก อย่างที่บอกช่วยกรุณาเก็บตังค์ด้วย คุณสนธิคะวันนี้ถามจริงๆ ว่า มีบางช่วงเวลาขออยู่ส่วนตัวได้ไหม
สนธิ- มีครับ มีบ่อยแต่ว่าเห็นใจพ่อแม่พี่น้อง เหมือนอย่างบางครั้ง วันที่ไปที่เมืองทอง จำเป็นต้องนั่งให้พี่น้องมาถ่ายรูปอย่างเต็มที่ เพราะเห็นใจเขา หลายๆ คนไม่เคยมาแล้วอยากจะถ่ายรูปด้วย แสดงอาการไม่พอใจหรือเหนื่อยเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ ต้องยิ้มตลอดเวลา เพราะเข้าใจและเห็นใจเขา และที่สำคัญคือซาบซึ้งที่เขาศรัทธาเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราซาบซึ้งที่เขาศรัทธาในตัวเรา เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เรายิ้มไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย
จินดารัตน์- พี่น้องขามานับถอยหลังร่วมกันนะคะ 5 4 3 2 1 สวัสดีใหม่นะคะ สวัสดีปีใหม่ทุกๆ ท่านเลยค่ะ ให้คุณสนธิสวัสดีปีใหม่พ่อแม่พี่น้องทางบ้านด้วยค่ะ
สนธิ- 2552 ขอให้เป็นปีที่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็ท่านผู้ชมทั้งหลายถึงจะไม่เป็นพันธมิตรฯ จงมีแต่ธรรมอยู่ในใจ แล้วก็มีความรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ นะครับ ขอให้ปี 2552 เป็นปีที่ชาติไทยอยู่รอดปลอดภัย และขอให้ชาติไทยมีแต่ความมั่นคง ศาสนามีแต่ความจริงสัจจธรรมที่อยู่ในศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้มีแต่ความมั่นคงตลอดไป ที่สำคัญที่สุด ขอให้พ่อแม่พี่น้องทุกคนจงมีความสุข มีพลานามัยที่แข็งแรง และมีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ขอบพระคุณมากครับ
จินดารัตน์- ขอบพระคุณนะคะวันนี้ลาไปก่อนคะ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ
พี่น้อง ตกลงว่าช่วงสุดท้ายรายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้เป็นวันพิเศษ พิเศษสุดๆ เพราะว่า เราจะเปลี่ยนชื่อช่วง เป็นช่วงกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้ พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ทางบ้านมีส่วนร่วม พ่อแม่พี่น้องเคยสงสัยเรื่องอะไรในตัวคุณสนธิ อยากรู้อะไรในตัวคุณสนธิ วันนี้ไม่อั้นค่ะพี่น้อง ส่งคำถามมาได้เลยนะคะ ที่หมายเลข 0-2629-4433 ส่งมาได้ทุกคำถาม แล้วน้องๆ ทีมงานจะช่วยกันรับโทรศัพท์แล้วส่งมาให้แอนอ่านในช่วงท้าย แต่พี่น้องวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายในการทำงานของแอนก็ได้ เพราะบางคำถามอาจจะโดนเตะโด่งออกจากบริษัทไปเลยก็ได้ ไม่หรอกค่ะ เราได้ทำสัญญากันไว้แล้ว ลงนาม คือรอวันนี้มานานเหมือนกันนะคะพ่อแม่พี่น้อง คือที่ผ่านมาถ้าได้คุยกับคุณสนธิเป็นการส่วนตัวจะกล้าๆ กลัวๆ ในการจะถามคำถาม แต่วันนี้ถามคำถามได้ แอนถามคุณสนธิก่อนแล้วถามได้ทุกคำถามใช่ไหม ได้เลยอยากถามอะไรถามมาเลย เมื่อสักครู่แอบไปดูตอนปริ๊นซ์รูป ไหนวันนี้จะถามอะไรฉันหรอ อู๊ยหนูบอกก็ไม่สนุกซิคะ ก็เลยจะต้องอุบกันเอาไว้ก่อน ถ้าบอกเดี๋ยวจะไปเตรียมคำตอบไว้ก่อน คุณสนธิชอบเรื่องท้าทาย พี่น้อง เป็นคนที่ชอบเรื่องเล็กๆ ไม่เรื่องใหญ่ๆ สนธิทำ สังเกตนะคะที่ผ่านมา พ่อแม่พี่น้องส่งคำถามมา อย่าลืม 0-2629-4433
เอาเป็นว่าแอนจะเริ่มจากรูปก่อนก็แล้วกัน นิดนึง แอนอยากให้พ่อแม่พี่น้องเห็นรูปที่ทำงานคุณสนธิ จะได้จิตนาการถูกว่า เมื่อไม่มีการชุมนุมคุณสนธินั่งทำงานอยู่ในสถานที่แบบไหน จะได้นึกออกเวลาแอนถามคำถามอะไรเกี่ยวกับการทำงาน เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หรือคิดอะไรคนเดียว นั่งอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ขอรูปที่ทำงาน ออฟฟิศคุณสนธิด้วยค่ะ มีหลายรูปนะคะ (รูปบ้านพระอาทิตย์) นี่คือภายนอกอาคารบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นออฟฟิศของหนังสือพิมพ์รายวันด้วย แล้วคุณสนธิจะอยู่ซีกหนึ่ง ร่มรื่น ฝรั่งใครมาอยากเข้ามาดูนักหนา บอกว่าเป็นโบราณสถานหรือเปล่า อยากเข้ามาดู บอกไม่ได้ไม่ได้นี่เป็นออฟฟิศคุณสนธิ แต่ช่วงที่เราชุมนุมกันจะมีตาข่ายมาขึง ฝรั่งจะถามว่า นี่สวนนกหรอ ขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม ได้เห็นกันไปแล้วว่าร่มรื่นขนาดไหน น่าอยู่แค่ไหน
พี่น้องขา แอนจะเริ่มจากในวัยเด็กก็แล้วกัน อยากจะรู้ว่า ด.ช.สนธิ เมื่อก่อนเป็นยังไง คุณสนธิขา
สนธิ- ไปไกลขนาดนั้นเลย
จินดารัตน์- จริงค่ะ ยังจำได้ใช่ไหมคะ
สนธิ- ได้ๆ
จินดารัตน์- ยังจำได้ เด็กๆ แอนได้ยินมาว่า คุณสนธิเป็นเด็กค่อนข้างเกเร เกเรในความหมายของเขาหมายถึงอะไรคะ
สนธิ- ผมเป็นคนรักเพื่อน ถ้าชกตีชกต่อยกันทีไรเรื่องเพื่อนทั้งนั้น
จินดารัตน์- เป็นแกนนำตั้งแต่เด็กเลยหรอคะ
สนธิ- เพื่อนถูกรังแก มีอยู่ครั้งหนึ่งหนีออกจากโรงเรียนประจำ โรงเรียนประจำพอ 21.00 น.ก็นอนแล้วใช่ไหม ทีนี้เพื่อนไปติดลูกสาวเจ้าของโป๊ะ อยู่ที่ อ.ศรีราชา ก็ชวนกันไปหาแฟน ก็ชวนผมแล้วอีกคนหนึ่งไป พอไปถึงแล้วปรากฏว่า ไปจีบลูกสาวโป๊ะเขาโดนตังเกมันเอามีดแทง
จินดารัตน์- แทงเพื่อนหรอคะ
สนธิ- แทงเพื่อน ผมเลยเอาหน้าอกรับมีดแทน ความรักเพื่อนสมัยหนุ่มๆ สมัยเด็กๆ
จินดารัตน์- ตอนนั้นอายุเท่าไหร่คะ
สนธิ- สิบกว่าเอง
จินดารัตน์- หลายคนหายสงสัยเลยค่ะ
สนธิ- แล้วเวลา คือที่อัสสัมชัญศรีราชาจะแบ่งเป็นแก๊ง ผมไม่มีแก๊งผมก็ไปของผมเรื่อยๆ ผมเป็นนักกีฬา ผมเล่นฟุตบอล เล่นรักบี้ ปีสุดท้ายผมเรียนจบผมติดรักบี้ทีมชาติ วชิราวุธนี่ผมแข่งนะ ผมแข่งมาแล้วที่วชิราวุธ แล้วก็เป็นทั้งนักวิ่ง ผมวิ่ง 200 เมตร ก็เป็นแชมป์ที่ 1 วิ่งเร็ว
จินดารัตน์- คือรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อนๆ
สนธิ- มันก็สูงตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเป็นคนสูงคุณแม่เป็นคนสูง ก็เลยสูง สูงชรูดตูดปอด
จินดารัตน์- เป็นคนอธิบายความได้ดีคะพี่น้อง อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเกเรนะคะคุณสนธิ
สนธิ- เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมารังแกใคร แล้วใครที่เบ่งก็เบ่งไปผมไม่สนใจ แต่ถ้าเริ่มรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผมจะเสนอหน้าเข้าไปเลย ตั้งแต่เด็กแล้ว
จินดารัตน์- แต่คุณสนธิจะไม่เคยรังแกใครก่อน
สนธิ- ผมไม่เคย เกิดมาผมไม่เคยรังแกใคร
จินดารัตน์- เรื่องชกต่อยส่วนใหญ่เกิดมาจากเพื่อนหรอคะ
สนธิ- เพื่อน เพื่อนโดนรังแก บางครั้งก็ต้องขอพูดหน่อย บางครั้งตัวเองก็อารมณ์ร้อน คือเด็กโรงเรียนประจำจะมีนิสัยอย่างให้จำไว้ อย่าทะเลาะเด็กโรงเรียนประจำ
จินดารัตน์- ทำไมคะ
สนธิ- มันชกก่อนพูดทีหลัง เป็นอะไรที่รุ่นพี่สอนเอาไว้
จินดารัตน์- ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นละคะ
สนธิ- เอากำไรก่อน พอใส่ตูมปั๊มล้มไปปั๊มต้องยืนคร่อมเลยนะ
จินดารัตน์- ประกาศชัยชนะก่อน
สนธิ- ไม่ แล้วคนจะมาแยก พอคนมาแยกก็กำไรไปแล้ว 1 ที แต่ถ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเอามึงเจอกูคืนนี้ หลังเลิกเรียนที่มุมตึก คราวนี้ก็แบ่งเป็นแก๊งแล้ว คราวนี้ก็แล้วแต่เล่ห์เหลี่ยมกันแล้ว
จินดารัตน์- ชกต่อยกันบ่อยไหมคะ
สนธิ- ก็พอสมควร แต่ว่าพวกที่ชกพวกที่ต่อยพอโตแล้วรักกัน พอชกกันเสร็จแล้วก็จับมือกัน กอดกัน ใช้กำปั้น เข่า แข้ง
จินดารัตน์- แสดงว่าคุณสนธิต้องเดินเข้าออกฝ่ายปกครองเป็นว่าเล่น
สนธิ- ที่โรงเรียนสัมเขามีระบบ เขาเรียก แบดโน้ต เขามี 9 8 7 9 นี่ทั่วๆ ไป แต่งตัวไม่เรียบร้อย 8 นี่เลวมามากหน่อย แต่งตัวไม่เรียบร้อย 2-3 ครั้ง โดนไป 9 2-3 ครั้งก็โดน 8 แต่ 7 นี่ขาข้างหนึ่งอยู่นอกโรงเรียนแล้ว ผมโดน 8 มา 3-4 ครั้ง 7 โดน 1 ครั้ง
จินดารัตน์- เกือบแล้ว
สนธิ- ที่เอาหน้าอกไปรับมีด โดนตีต่อหน้าหอประชุมเลย หอประชุมใหญ่
จินดารัตน์- เจ็บตัวแล้วยังโดนตีต่อหน้าหอประชุม
สนธิ- เพราะว่าหนีออกไปนอกโรงเรียน เด็กอัสสัมชันศรีราชาจะใส่กางเกงขาสั้น ตรงขาอ่อนจะว่าง ตอนแรกจะตีด้วยไม้หวาย หวายแช่น้ำ หวด 6 ครั้ง 6 ครั้งแนวก็ขึ้น
จินดารัตน์- ขาวนี่คะ
สนธิ- แนวขึ้นใช่ไหม แล้วห้องน้ำอัสสัมศรีราชา ห้องส้วมซึม 2 เดือนเวลาขี้ต้องเอาเพื่อนพยุง เพราะมันนั่งยองๆ ไม่ได้
จินดารัตน์- เพื่อนรักจริงๆ นะคะ
สนธิ- มันนั่งยองๆ ไม่ได้ ทำยังไงล่ะ
จินดารัตน์- เพื่อนต้องทนดมอึไปด้วย
สนธิ- ต้องทน ไม่รู้ยังไง
จินดารัตน์- เพื่อนรัก
สนธิ- เพื่อนรัก ทั้งหมด
จินดารัตน์- เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในโรงเรียนหรือเปล่าคะ
สนธิ- ไม่ใช่ เป็นกลุ่มอิสระ
จินดารัตน์- อ๋อ มีกลุ่มอิสระ
สนธิ- คือเราไม่เข้าแก๊งใคร แต่ใครอย่ามายุ่งกับกูแล้วกัน ในทำนองนี้
จินดารัตน์- ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่น เริ่มซ่าตั้งแต่
สนธิ- จะว่าซ่าก็ซ่า หรือจะเรียกว่า เฮ้ยอย่าไปยุ่งกับมัน เพราะถ้ามันชกแล้วมันไม่หยุด มันไม่กลัวไง
จินดารัตน์- อ๋อ ชื่อเสียงกระฉ่อนอย่างนั้นเลย
สนธิ- กระฉ่อน
จินดารัตน์- รุ่นพี่นี่ไม่สน
สนธิ- ไม่สนเลย
จินดารัตน์- ก็ต่างคนต่างอยู่ไป
สนธิ- ต่างอยู่ไป
จินดารัตน์- แต่คุณสนธิไม่เคยไปยุ่ง
สนธิ- ผมไม่ยุ่งใคร
จินดารัตน์- แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ คุณพ่อคุณแม่คุณสนธิล่ะคะ
สนธิ- พ่อผม อดีตเป็นพ่อเลี้ยงอยู่สุโขทัย เป็นพ่อเลี้ยงค้าไม้ ตัดไม้ในป่า สมัยก่อนพ่อมีช้างอยู่ร้อยกว่าเชือก มีรถลากซุง ได้สัมปทานป่าแล้วก็ตัดไม้ ตอนนั้นพ่อไปเป็นสายการเมือง สาย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ตัดไม้ พอคุณเผ่าโดนยึดอำนาจ จอมพลสฤษดิ์ขึ้น พ่อก็ล้มละลาย พอพ่อล้มละลายแม่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องเปิดร้านขายกาแฟ ขายของชำเลี้ยงลูก ผมก็เลยรู้ถึงความขมขื่นของการเป็นโชห่วย บ้านผมจะอยู่หน้าปากซอย ถนนสารภี
จินดารัตน์- ตอนที่บ้านลำบากคุณสนธิอายุเท่าไหร่
สนธิ- ผมประมาณ 11 แล้วมั้ง
จินดารัตน์- รู้เรื่องแล้ว
สนธิ- ตอนนั้นรู้เรื่อง จากสมัยก่อนพ่อรวยมาก สมัยก่อนขับรถยูโซโก้ พรีมัส แต่ผมให้แม่ผมเป็นสุดยอดคนที่มีคุณูปการกับชีวิตผม เพราะแม่เป็นลูกคนรวย แม่มาจากเมืองจีน ตาเป็นเจ้าของร้านขายนาฬิกา เอเย่นต์ใหญ่นาฬิกาโอเมก้า บริษัท ซีฮวด ถ้าคนโบราณจะรู้จัก ตามีเมียอยู่แล้ว คือยายผม อยู่ที่เมืองจีน แล้วมามีเมียใหม่ที่เมืองไทย แล้วเอายายมา อีท่าไหนไม่รู้ไปตียาย แม่ผมก็ไปด่าตา ด่าพ่อตัวเองว่าตีแม่ทำไม ตาก็เลยตัดขาดเลยลูกกับพ่อ วันแต่งงานกับพ่อผม พ่อผมเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เพราะปู่เป็นคนจีนย่าเป็นคนไทย
จินดารัตน์- เป็นคนสุโขทัยไช่ไหมคะ
สนธิ- เป็นคนสุโขทัย ตาไม่อยากให้คนจีนไปผสมพันธุ์กับคนเลือดอื่น ผมก็เลยมีเลือดนักสู้มาตั้งแต่แม่ แม่ต้องทน เพราะพ่อเป็นพ่อเลี้ยง เสร็จแล้วพอพ่อล้มละลายแม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ต้มน้ำขายกาแฟ แล้วโดนตำรวจรีดไถตั้งแต่ขายกาแฟ เฮ้ยเจ๊ ปลาท่องโก๋ ติดไว้ก่อนนะวันหลังมาให้ ติดมันไปเรื่อยๆ
จินดารัตน์- เป็นกันมาตั้งแต่ยุคนั้นเลย
สนธิ- เป็นตั้งแต่ยุคนั้นเลย แล้วแม่ผมเสร็จเรียบร้อยแล้วพอไปก็ด่าภาษาไหหลำ ผมยังจำแม่นเลย กุ๊ยบอติเงี๊ยะ(***)
จินดารัตน์- ไม่ถามคำแปลนะคะ
สนธิ- ไม่ต้องถามคำแปล แม่ผมจะเกลียดข้าราชการ จนกระทั่งน้องสาวผมคนโต น้องสาวผมคนโตจบพระหฤทัยคอนแวนต์ แล้วเข้าจุฬาฯ ได้ คณะเศรษฐศาสตร์ จบแล้วไปทำงานอยู่ที่สภาพัฒน์ เกิดไปชอบกับน้องเขยผม ซึ่งเป็นลูกนายพล ลูกนายพลเจ้ากรมการแพทย์ แม่ผมโกรธ
จินดารัตน์- ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น
สนธิ- เพราะท่านคนไทย ให้รู้ไว้ซะด้วย แม่ผมนุ่งกางเกงกุยเฮง รู้จักมั๊ยกางเกงกุยเฮง
จินดารัตน์- รู้ค่ะ
สนธิ- เดินขึ้นสภาพัฒน์ไปชี้หน้าด่า
จินดารัตน์- ใส่กางเกงกุยเฮงขึ้นสภาพัฒน์
สนธิ- ไปชี้หน้าด่าน้องเขยผม บอกเฮ้ยลื้ออย่ามาคบลูกคนจีนลื้อไปแต่งงานคนไทย อย่างนี้เลยจริงๆ
จินดารัตน์- แล้วตกลงก็ไม่ได้แต่งหรอคะ
สนธิ- เกือบจะไม่ได้แต่ง น้องสาวก็มาร้องไห้กับผมตอนนั้น ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยไปพูดกับแม่ พูดจนกระทั่งแม่ใจอ่อน แต่ใจอ่อนแบบยั๊วะ บอกได้ขอสินสอด 500,000 บาท
จินดารัตน์- สมัยก่อน กี่ปีมาแล้วคะ
สนธิ- สมัยก่อนเยอะนะ 500,000 บาท น้องสาวไม่มีตังค์ก็ร้องไห้ไม่รู้จะทำยังไง ก็ตัดสินใจมาหาผม บอกเขาจะหนีกันไปแล้ว บอกเฮ้ยๆ อย่าหนี ถ้าแกหนีฉันซวย ฉันเหนื่อย ผมก็เลยไปหาเงิน 500,000 ให้เขา เขาก็เอาเงิน 500,000 มาให้แม่ แม่ก็ภูมิอกภูมิใจใหญ่ นับใหญ่เลยเงิน หารู้ไม่ว่าเงินผม
จินดารัตน์- ตอนนั้นคุณสนธิอายุเท่าไหร่แล้วคะ
สนธิ- ผม 30 กว่าแล้ว ทำงานแล้ว
จินดารัตน์- อู้หู 500,000 ไม่ใช่น้อยๆ นะคะ
สนธิ- แล้วน้องสาวผมอีกคนซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ติ๋ว ก็จบเกษตร แล้วไปเรียนต่อไต้หวัน พ่อผมตอนเด็กไปเรียนเมืองจีนแล้วจบโรงเรียนนายร้อยเมืองจีน หวังปู่จุงเสี้ยว โรงเรียนเดียวกับที่ โจวไหลเขาสอนหนังสืออยู่ พ่อเกลียดญี่ปุ่น เพราะพ่อสมัยหนุ่มๆ รบกับญี่ปุ่นที่เมืองจีน ฆ่าฟันกัน เล่าให้ฟังตลอดเวลาเลย ปรากฏว่าน้องสาวผมทะลึ่งไปชอบคนญี่ปุ่นที่ไต้หวัน
จินดารัตน์- พี่น้องไม่ธรรมดาเลยนะคะแต่ละคน
สนธิ- ไม่ธรรมดาเลย ปรากฏว่า คนซึ่งเป็นประธานแต่งงานให้น้องสาว คือผม เพราะพ่อปฏิเสธ ตัดลูกตัดพ่อ จนกระทั่งมีหลาน แล้วหลานคนนี้มันเป็นหลานคนเดียว ชื่อ ซาโตะมิ กีโนซ่า ซาโตะมิพ่อมันชื่อ เซ่งซัง น้องสาวผมเป็นมะเร็งตาย วันสิ้นชีวิต จับมือผมแล้วบีบ บอก โกตั๊บ เขาเรียกผมโกตั๊บ เขาฝากซาโตะมิด้วยนะ เราเป็นคนทำใจได้ ญาติพี่น้องคนไหนตายเราไม่ น้องสาวคนเล็กหาว่าผมอำมหิต ขนาดน้องสาวตายยังไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร ผมรับปากเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า เซ่งซังไปมีเมียใหม่ แล้วมีลูกอีกคน แล้วเอาไปอยู่ที่มาเก๊า เขาไปสอนหนังสือที่มาเก๊า แล้วกลับไปอยู่ที่โอกินาวา มีอยู่วันหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม ให้ผมบินไปหาเขาที่โอกินาวา เป็นเนื้องอกในสมอง ผมเลยต้องเอากลับมาเมืองไทย จากโอกินาวามารักษาที่เมืองไทย หมดไปอีกเกือบ 2 ล้านบาท แล้วก็ตาย ปรากฏไอ้มิผมเลยต้องเลี้ยงดู
จินดารัตน์- เป็นลูกอีกคนหนึ่ง
สนธิ- ลูกอีกคนหนึ่ง มันเรียนอยู่ ISB International Scool คุณก็รู้ค่าเรียนแพงฉิบหาย ค่าเล่าเรียน 1 ปีประมาณ 1 ล้าน ส่งจนเรียนจบ โชคดีที่เขาอยู่ที่ปุ๊
จินดารัตน์- อาจารย์หญิง
สนธิ- อาจารย์หญิง พี่ปุ๊เขาก็สอนเป็นสุภาพสตรีดีขึ้น แต่มันเรียนเก่งมันเลยได้ทุนไปเรียนเวิร์สเล่ย์ เป็นท็อปเทนของอเมริกา ขาดได้ทุนปีละ 40,000 เหรียญ ยังต้องให้มันอีก 17,000 เหรียญต่อปี ไม่พอ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จต้องใช้ประมาณ 60,000 เหรียญต่อปี 60,000 เหรียญ เกือบ 2 ล้านบาท แต่มันเรียนเก่งมาก ที่ ISB มีคะแนนแปลก ผมนึกว่ามี 4 ก็คือ A 4 กว่าก็มีนะ A+ มันได้ C C กว่า ตอนนี้เรียนปี 2 อยู่เวิร์สเล่ย์
จินดารัตน์- ไม่ได้ทำให้โกตั๊บผิดหวัง
สนธิ- คราวที่แล้วชุมนุมที่มัฆวานเขาก็กลับมา เขามาช่วยงาน
จินดารัตน์- สาธิตมัฆวาน
สนธิ- เขามาช่วยงานเขามาทุกอย่าง มันพูดญี่ปุ่นได้ พูดไทยได้ พูดอังกฤษ พูดจีนกลางได้ พูดกวางตุ้งได้
จินดารัตน์- เป็นเด็กน่ารักมากนะคะพ่อแม่พี่น้องขา แอนเคยเจอน้องมิ เคยอยู่ด้วยกัน 2-3 วัน รู้ว่าสายเลือดตระกูลนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เรื่องเรียนเก่งนี่สุดยอด แล้วคุณสนธิก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกันนะคะ หลายคนสงสัย ทำไมเป็นเด็กเกเร รักเพื่อน เพื่อนชวนไปไหนเฮนั่น แต่เรียนเก่งเป็นบ้าเลย
สนธิ- คือผมเป็นคนที่ เวลาต้องสอบ เวลาเรียนหนังสือในห้องผมจะสนใจ อาจารย์พูดอะไรผมจะสนใจตลอดเวลา ผมจะไม่เล่นกับใคร พอจบปั๊บถึงเวลาดูหนังสือผมดู แต่ถึงเวลาเลวก็เลว ผมแบ่งถูก เวลาเล่นกีฬาผมเล่นสุดๆ เวลาเกเรก็เกเรสุดๆ แต่พอมานั่งโต๊ะแล้วมีหนังสือวางอยู่ข้างหน้าผมทิ้งทุกเรื่อง มันเลยติดนิสัยมาถึงการต่อสู้ทุกวันนี้
จินดารัตน์- คนที่เกเรส่วนใหญ่นะคะคุณสนธิ เขาจะไม่ค่อยสนใจหรอกว่าถึงเวลาเรียนต้องเรียน ส่วนใหญ่นะคะ แต่คุณสนธิต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณสนธิตั้งใจเรียน
สนธิ- มันแบ่งแยกตัวเองได้ตั้งแต่เด็กแล้วมันเลยทำให้ตัวเองมีความรู้สึกว่า ถ้ามันจะต้องตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง มันเข้าใจดี นั่นคือที่มาของตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง คือไม่กลัว เพราะมันพัฒนามาจากเด็ก ผมพยายามบอกหลายคนว่า คนเราจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีหลายลิ้นชัก มีเรื่องอะไรรับไม่ไหว เปิดลิ้นชักใส่ปิดลิ้นชักเก็บ อย่าไปคิดมัน
จินดารัตน์- ทำได้ด้วยหรอคะ
สนธิ- ต้องทำได้ซิ ต้องทำได้ ถึงจุดๆ หนึ่งแล้วทำได้ ถ้าไม่อยากจะเครียด ไม่อยากเป็นมะเร็ง ไม่อยากเป็นเบาหวาน ไม่อยากเป็นอะไรทุกอย่างต้องทำได้
จินดารัตน์- ก่อนไปถึงจุดนั้น แอนต้องถามไล่เรียงไป ความใจเด็ด ความมีสติ ใช้ชีวิตแบบมีสติตั้งแต่เด็กๆ คุณสนธิได้มาจากใคร ได้มาจากแม่เพราะเห็นแม่ลำบากหรอคะ
สนธิ- น่าจะเป็นอาจารย์ เพราะเด็กประจำ เด็กอัสสัมชันศรีราชาไม่เหมือนเด็กประจำทั่วไป เด็กประจำวัฒนา หรือว่าวชิราวุธ 2 อาทิตย์กลับบ้านที อัสสัมศรีราชาปิดเทอมถึงได้กลับบ้านที เพราะฉะนั้นแล้วความผูกพันที่อยู่กับเพื่อน ความผูกพันที่อยู่กับอาจารย์ รักเพื่อนมากกว่ารักพี่รักน้อง รักอาจารย์มากกว่ารักพ่อรักแม่ เป็นอย่างนั้นเลย
จินดารัตน์- อยู่อัสสัมกี่ปีคะ
สนธิ- 13 ปี
จินดารัตน์- 13 ปี คุณสนธิตอนเด็กๆ เคยคิดไว้หรือเปล่าคะว่า โตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร
สนธิ- ไม่เคย ที่แน่นอนที่สุด ไม่เคยใฝ่ฝันเรื่องการเป็นตำรวจ ทหารเลย
จินดารัตน์- เพราะแม่ปลูกฝังมาอย่างนั้น
สนธิ- ไม่ใช่ มีความรู้สึก ในยุคผมคนที่นามสกุลแล้วขึ้นด้วยแซ่ ลิ้มทองกุล ฮุนตระกูล ภู่อะไรพวกนี้ สมัยก่อนเป็นตำรวจทหารไม่ได้เพราะเขาถือว่ามีเชื้อจีน เราก็เลยมีความรู้สึกอะเจ้น
จินดารัตน์- ต่อต้าน
สนธิ- ต่อต้าน ไม่เป็นก็ดี ไม่รู้จะเป็นทำไม แล้วยิ่งพอมาถึงวันนี้ดีใจฉิบหายไม่ได้เป็น
จินดารัตน์- ไม่แน่นะคะถ้าเป็นป่านนี้ได้เป็น
สนธิ- ถูกออกจากราชการไปนานแล้ว
จินดารัตน์- เพราะไม่เหมือนชาวบ้านเขา
สนธิ- ไม่ใช่ไม่เหมือนชาวบ้าน เรารับความชั่วไม่ได้ ถ้าผมเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ วันที่ 7 ต.ค. ผมจะออกมาขวางเลย ถ้ามึงจะย้ายกูก็ย้ายกูไม่กลัว เพราะผมไม่ยึดติด แต่ไหนแต่ไร
จินดารัตน์- แต่ไม่แน่นะคะคุณสนธิ ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเป็นตำรวจจริง คุณสนธิอาจจะถูกหล่อหลอมมาด้วยระบบเลวๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมคะ หรือว่ามั่นใจในตัวเอง
สนธิ- ผมมั่นใจในตัวเอง ผมคิดว่า พ่อแม่สอนมาดี คนเรามีจริยธรรม มีศีลธรรม ระบบชั่วยังไงก็ตามมันจะเอาเราไม่อยู่ แล้วจะทำให้เราไม่อยากอยู่กับมันด้วย เพราะฉะนั้นแล้วคุณแอน ถ้าผมเป็นผมอยู่ได้ไม่นานผมก็ต้องออก ผมรับไม่ได้ ผมรับไม่ได้จริงๆ
จินดารัตน์- ไม่อยากเป็นทหาร ตำรวจ แล้วอยากเป็นอะไรไหมคะ เคยมีภาพในใจไหมคะ
สนธิ- ตอนผมไปเรียนเมืองนอก ผมมีความฝัน คนหนุ่มก็มีความฝัน ฝันจะเปลี่ยนโลก ผมทำหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ปริญญาตรี แล้วก็ปริญญาโททำหนังสือพิมพ์ จบปริญญาโทปั๊บผมทำงานสำนักข่าวเอพี ผมเป็นผู้สื่อข่าวกีฬานะ อเมริกันฟุตบอล เบสบอล ผมทำหนังสือแล้วอยากจะกลับมาเมืองไทยแล้วทำหนังสือรายสัปดาห์ที่คนเอเชียอ่านได้ทั้งหมด อยากจะเปลี่ยนเอเชีย เปลี่ยนโลก พอกลับมาเมืองไทยแล้วขอเปลี่ยนแค่เมืองไทย พออยู่ไปสักพัก ขอเปลี่ยนบริษัท พอแก่ตัวลงขอทำให้ลูกเป็นคนดีพอแล้ว ความยิ่งใหญ่มันเล็กลง
จินดารัตน์- มันเล็กลงๆ
สนธิ- เพราะระบบมันทำให้เราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดแล้ว เรายังสรุปจบลงที่ว่า ขอให้ลูกเป็นคนดี
จินดารัตน์- คุณสนธิก่อนจะไปเป็นนักข่าว เรียนจบมัธยมเสร็จก็มาเรียนที่อเมริกา
สนธิ- ผมเรียนจบมัธยม ผมไปเรียน คุณพ่อส่งไปเรียนไต้หวัน 1 ปี ผมไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ไต้หวัน ไปเกเร แทงสนุ๊กทั้งวัน แล้วไปมีแฟนเป็นสาวเซี่ยงไฮ้ ชื่อ มิกกี้ เหมย ยังจำได้เลย เหมย ฮุ่ยลี่ จำแม่น พ่อเขาเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้า เรียน 1 ปีไม่ไหวเพราะภาษาจีนเราไม่รู้เรื่อง เราพูดได้เฉยๆ เขียนอ่านไม่ได้ จากการที่พูดได้ที่ไต้หวันปีนั้นทำให้ติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยบอกพ่อแม่ไม่ไหวแล้วเลยขอไปเรียนอเมริกา ตอนเราจบ ม.8 คะแนนเราดีมาก โชคดีได้เข้ายูซีแอลเอ แล้วไปต่อปริญญาโทที่นั่น
จินดารัตน์- เลือกเรียนประวัติศาสตร์
สนธิ- ผมเป็นคนชอบเรียนประวัติศาสตร์ ชอบอ่านหนังสือ สมัยเด็กๆ ชอบอ่านหนังสือ เวลาเขาปิดไฟแล้วเอาผ้าห่มคลุมเอาไฟฉายส่อง อ่านพวกลูกแม่ค้า น้ำตาแม่ค้า เสือดำเสือใบ พลนิกรกิมหงวน ผู้ชนะสิบทิศ อ่านหมดทุกเรื่อง ชอบอ่านหนังสือตลอดเวลา แล้วมีความรู้สึกผูกพันธ์กับอะไรที่เป็นของเก่า อะไรที่มันมีความเกี่ยวโยงกัน เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้มันเลยติดนิสัยมา เวลาผมดูปัญหาอะไรผมจะดูย้อนหลัง ผมไม่ดูเฉพาะตรงนี้ ผมไม่ตัดสินอะไรด้วยตรงนี้ ผมจะอยากรู้โต๊ะนี้ก่อนจะเป็นโต๊ะมันมายังไงก่อน ไม้เอามาจากต้นอะไร หินอ่อนเอามาจากที่ไหน แล้วผมถึงจะทำความเข้าใจ เขาเรียกว่าดูแบบองค์รวม พอชีวิตเข้าไปทำงานหนังสือพิมพ์มันเลยมีความรู้สึกว่า หนังสือพิมพ์สมัยนี้ สื่อมวลชนสมัยนี้มันดูเฉพาะภาพข้างหน้านี่เอง สมมุติว่า คนๆ หนึ่งเกิดบ้าเลือดไปชกไอ้หมอนี่ บอกไอ้นี่เกเร แต่ถ้าดูย้อนหลังจะรู้ว่าไอ้นี่โดนรังแกมาตลอดชีวิต จนกระทั่งมันสติแตกมันสู้ไม่ไหว นั่นคือที่มา ทำให้การต่อสู้ของเราแต่ละครั้ง ทำให้ผมมั่นใจว่า ประชาชนและสังคมไทยโดนทักษิณรังแกมาตลอดจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาสู้ เขาก็บอกว่า พวกเราก่อความวุ่นวาย เพราะเขาดูเฉพาะตรงนั้นแต่เขาไม่ดูว่า ทำไมพวกเราต้องออกมา มันสืบเนื่องมาจากการถูกอบรม
จินดารัตน์- แล้วพอไปเรียนอเมริกา สาวคนนั้นล่ะคะ
สนธิ- มิกกี้ เหมย เขาไปเรียนฝรั่งเศส
จินดารัตน์- แล้วยังเจอกันหรือเปล่าคะ
สนธิ- อ๋อ เขามีสามีแล้ว เพราะคนจีนจะชอบคนที่เรียนด็อกเตอร์ พอเขารู้ผมเรียนประวัติศาสตร์เขาร้องยี้เลย เพราะคนจีนจะชอบแฟน หรือชอบให้ลูกเรียนหมอ เรียนวิศวะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าบอกเรียนประวัติศาสตร์ เหมือนอย่างผม ผมไปเรียนที่อเมริกาผมก็โกหกที่บ้าน ผมบอกผมเรียนวิศวะ ไม่งั้นพ่อด่าตายห่า แต่ผมเรียนประวัติศาสตร์ผมเลยชอบมาทางนี้
จินดารัตน์- พอจบออกมาพ่อไม่ถามวิศวะอะไรของเอ็งวะทำไมถึงไปทำนักข่าว
สนธิ- ก็กลับมา กลับมาถึงรู้ ข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้ว
จินดารัตน์- สายไปเสียแล้ว เริ่มต้นจากการเรียนประวัติศาสตร์ ชอบอ่าน ชอบ
สนธิ- นี่คุณจะเอาตั้งแต่เด็กเลยหรอ
จินดารัตน์- คืออยากรู้ทำไมถึงเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล วันนี้ แอนอยากรู้ว่า คุณสนธิมีแนวคิดอะไร ได้รับการปูพื้นมาจากอะไร
สนธิ- หนังสือครับ การอ่าน
จินดารัตน์- คุณสนธิเป็นคนความจำดีมาก
สนธิ- บางเรื่องก็ไม่อยากจำ การให้อภัยคุณว่ายิ่งใหญ่ไหม
จินดารัตน์- ยิ่งใหญ่ค่ะ
สนธิ- แต่ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัยคือการลืม
จินดารัตน์- ลองอธิบายนิดนึงได้ไหมคะ
สนธิ- ถ้าคุณให้อภัยคุณยังจำได้ กูให้อภัย แต่การลืมคือไม่สนใจแล้ว คือการปล่อยวาง
จินดารัตน์- ปิดสวิตซ์เลย
สนธิ- ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัย คนเราต้องฝึกลืมให้เป็น
จินดารัตน์- จะได้ไม่ต้องแบกรับทุกเรื่องเอาไว้
สนธิ- จะได้ไม่ต้องแบกรับ
จินดารัตน์- แต่ก่อนที่คุณสนธิจะทำได้ใช้เวลาพอสมควรใช่ไหมคะ
สนธิ- มันผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ บังเอิญ ส่วนหนึ่งที่ผมได้มาเพราะว่าคุณูปการของปุ๊ อาจารย์หญิง ปุ๊เขาเป็นคนสนใจธรรมะมานานแล้ว เขาเป็นคนยุให้ผมเข้าวัด ยุให้ผมอ่านธรรมะ เอาหนังสือเล่มนู้นเล่มนี้มาให้ ผมมาได้จริงๆ ในช่วงที่ผมไปบวชกับหลวงพ่อญา วัดกุดโพนทัน หนองบัวบำภู ท่านเป็นมหานิกาย เสร็จแล้วก็ได้ตรงนั้นส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อปีที่แล้วไปบวชกับหลวงตามหาบัว ฝ่ายธรรมยุต ผมได้ทั้ง 2 ฝ่าย บวชครั้งแรกเหมือนได้ไปสัมผัสกับสติ แต่ครั้งที่ 2 รู้จักใช้สติและพิจารณา พิจารณาขันธ์ทั้ง 5 พิจารณาเรื่องราวของไตรลักษณ์ อนิสจัง ทุกขัง อนัตตา ยิ่งอายุมากเห็นเหตุการณ์มาเยอะ เห็นสมัคร สุนทรเวช ก็อนิสจังแล้ว วันนี้นอนโคม่าอยู่บนเตียง เมื่อต้นปี คุณเฉลิมยังเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ผ่านไปไม่มีตำแหน่ง กลับมาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข 2-3 เดือน วันนี้กลายเป็นคนซึ่งไม่มีอะไรอีกเหมือนกัน ที่น่าสงสารคือคนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจหลักอนิสจัง ยังลุ่มหลงอยู่ในกิเกส เขาเรียก โมหะ โทสะ
จินดารัตน์- ยึดติด
สนธิ- ยึดติดมหาศาล ผมโชคดีอย่างที่ผมไม่ได้ยึดติดอะไร
จินดารัตน์- แต่เชื่อว่าสมัยหนุ่มๆ คุณสนธิใช้ชีวิตสมัยหนุ่มๆ ก็คงจะไม่ได้เป็นแบบนี้
สนธิ- คุณกำลังจะถามอะไรผม
จินดารัตน์- อยากรู้ว่าตอนหนุ่มๆ วิธีการดำรงชีวิตของคุณสนธิเป็นยังไง ไม่เหมือนตอนนี้แน่ๆ
สนธิ- ผมเป็นคนที่เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต ผมเป็นคนที่ยโสโอหังมากสมัยหนุ่มๆ ผมคิดว่าผมเก่ง
จินดารัตน์- อีโก้มาก
สนธิ- สูงมาก จนกระทั่งผมล้มละลายเมื่อปี 2540 เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตอนผม 50 ตอนนั้น ผมยิ่งใหญ่มากก่อนผมล้มละลาย
จินดารัตน์- คือก่อนหน้านั้นอยากได้อะไรได้หมดทุกอย่าง
สนธิ- ยิ่งใหญ่ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เขียนข่าวถึงผม นิวยอร์กไทมส์นะไม่ใช่สเตรทไทมส์ นิวยอร์กไทมส์เขียนข่าวถึงผม 2-3 ครั้ง เอเชียวีคเอาผมขึ้นหน้าปก ตั้งแต่คุณทักษิณอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ลอสแองเจลิสไทมส์เขียนถึงผมทั้งหน้า ผมภูมิใจ ไทมส์แมกกาซีน คือภูมิใจในสิ่งที่ไม่ควรจะภูมิใจ เป็นเรื่องสมมุติ แล้วพอผมล้ม ผมยังจำได้เลยวันที่ล้ม พ่อหัวเราะ พ่อเขาบอก คนอย่างมึงต้องแพ้ซะมั่ง
จินดารัตน์- ใช้คำนี้เลยหรอคะ
สนธิ- นั่นคือที่มาของประโยชน์ "ต้องแพ้เสียก่อนถึงจะชนะ"
จินดารัตน์- หนังสือเล่มหนึ่ง
สนธิ- ผมเอาคำพูดพ่อมา เพราะว่ามึงไม่เคยแพ้มึงเลยไม่มีความรู้สึกว่าตอนแพ้เป็นยังไง
จินดารัตน์- ในชีวิตอยากได้อะไรก็ได้ตลอด
สนธิ- มันไม่อยากได้อะไรก็ได้ คือเก่ง นึกว่าตัวเองเก่ง นึกว่าตัวเองเปลี่ยนโลกได้ นึกว่าตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ สมัยปี 35 35, 36, 37 มีบริษัทอยู่ที่นิวยอร์ก ลองแองเจลิส แมนเชสเตอร์ ที่อังกฤษ มีตั้งแต่ก่อนทักษิณมีแมนซิตี้ แล้วมีบริษัทอยู่ที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ผมบินไปอเมริกาปีนึง 5-6 เที่ยว ไปอังกฤษ ไปอเมริกาไปนิวยอร์ก ผมบินกรุงเทพฯ-ลอนดอน ลอนดอนต่อไปแมนเชสเตอร์ ประชุมที่นั่น วันรุ่งขึ้นนั่งเครื่องกลับมาลอนดอนต่อเครื่องคองคอร์ด ผมนั่งคองคอร์ดปีละประมาณ 5-6 เที่ยว คองคอร์ดเป็นเครื่องบินบินเร็วกว่าเสียง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมบินจากนิวยอร์กกลับลอนดอน คนที่นั่งข้างๆ ผม ผมไม่รู้จัก ก็คุยกันมาตลอด พอลงไปถึงสนามบินฮีทโธร์ว เดินออกมาด้วยกัน คนขับรถที่มารับผม บอกยูเดินมากับอีริค คัตตัน ผมยังไม่รู้จักเลยเขาเป็นใคร แต่กำลังเล่าให้ฟังว่า นี่มันเรื่องสมมุติทั้งนั้น แล้วพอเราล้มละลาย เราเจ๊ง เราโชคดีอย่างเราคืนหนี้เมืองนอกหมด เรายืมหนี้เมืองนอกมาประมาณ 400 ล้านเหรียญ เราขายกิจการทิ้ง เรามีโรงพิมพ์อยู่ที่คอสเมซ่า มีแมกกาซีนอันนึ่งอยู่ที่ลอสแองเจลิส ชื่อ บัส แล้วมีบริษัทอินเวสต์เมนต์อยู่นิวยอร์ก ทั้งหมดขายทิ้งหมดเลย ที่แมนเชสเตอร์ คืนหนี้หมด ก็เหลือเฉพาะหนี้ในเมืองไทย หนี้เมืองไทยเป็นหนี้ค้ำประกัน
จินดารัตน์- เจ็บปวดไหมคะ
สนธิ- ตอนนั้นมีความรู้สึกไม่ใช่เจ็บปวดแต่มีความรู้สึกใจหาย คือมีหนี้ที่ผมค้ำประกันอยู่ 8,000 ล้าน แล้วตอนนั้นผมวิพากษ์วิจารณ์คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มาก อีท่าไหนไม่รู้แกก็ให้ธนาคารซึ่งเป็นธนาคารในเครือแก ธนาคารนครหลวงไทย ฟ้องผมล้มละลาย หนี้แค่ร้อยกว่าล้าน ปรากฏว่า เจ้าหนี้ทุกคนวิ่งกันตีนขวิดเลย คุณสนธิอย่านะต้องสู้นะ ผมสู้อยู่แล้ว ผมก็สู้ สู้ในศาลล้มละลายจนกระทั่งศาลบอกว่า ต้องล้มละลาย พอพิพากษาเสร็จ ผมยังจำได้เลย พวกเจ้าหนี้ทั้งหลายโทรศัพท์มาหาผมเลย ต้องอุทธรณ์นะคุณสนธิอย่าไปยอมแพ้นะ
จินดารัตน์- เจ้าหนี้หรอคะ
สนธิ- เจ้าหนี้ ปรากฏพอผมล้มละลาย ศาลพิพากษา ผมโทรศัพท์ไปหาหลวงพ่อญา เล่าให้ท่านฟัง ท่านหัวเราะเอิ๊กอ้าก
จินดารัตน์- ทำไมคะ
สนธิ- ท่านบอกหลุดแล้ว ท่านบอก บุญมาแล้ว เพราะล้มละลาย 3 ปีไง ไม่ต้องค้ำประกันหนี้ 8,000 ล้าน
จินดารัตน์- สบายเลย
สนธิ- ทีนี้คนมันกลัวการล้มละลาย ผมล้มละลายผมไม่กลัวเพราะผมไม่ได้แกล้งล้ม ผมสู้เลือดตาแทบกระเด็นเลยนะ เอาหลักฐานทั้งบัญชีมาดู แต่ศาลบอกว่าต้องล้ม
จินดารัตน์- เจ้าหนี้อยากให้สู้ต่อเพราะเจ้าหนี้รู้ว่า ยังไงต้องได้คืนจากคุณสนธิแน่
สนธิ- คือเจ้าหนี้บอก ตอนนั้นผมอายุยังน้อย ตอนนั้น 10 กว่าปีที่แล้วเขาอยากให้ผมเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต จนกระทั่งผมลงหลุม ปรากฏว่าหลวงพ่อหัวเราะ บอกหนี้หมด พี่สามารถ จำได้ไหม อ.สามารถ มังสังข์ ที่เคยออกทีวีคงจำ อ.สามารถ อ.สามารถหมอดูดวงนะ
จินดารัตน์- ดูแม่นมาก
สนธิ- ดูแม่นมากเลย แกดูดวงผม เอ๊ะคุณสนธิ คุณจะมีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก รับลองว่าไม่เกิน 3 ปีล้างหนี้หมด
จินดารัตน์- ดูตอนล้มละลายหรอคะ
สนธิ- ดูก่อนล้มละลาย
จินดารัตน์- ก่อนล้มละลาย
สนธิ- แกก็ไม่รู้มันจะเกิดอะไรขึ้น พอย้อนหลัง นั่นนะซิผมยังดูไม่ออก ปรากฏหมดหรือเปล่า หมด ค้ำประกันหนี้ 8,000 ล้าน คุณขายยาบ้ายังไม่ได้เลยนะ 3 ปี แต่ที่พูดให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่า ควรจะล้ม แต่หมายความว่า การล้มไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เราไม่ได้ไปคตโกงอะไรที่ไหน เป็นหนี้ค้ำประกัน คือล้มแล้วยังไง ไม่ล้มแล้วยังไม คนบางคนล้มละลายแล้วลุกไม่ขึ้น อาย
จินดารัตน์- หาทางออกไม่เจอ
สนธิ- ผมไม่เห็นจะต้องอายใครที่ไหนเลย วันที่ล้มละลาย ผู้จัดการมาถามผมจะให้ลงข่าวไหม ผมบอก มึงอย่าลงอย่างเดียวนะต้องพาดหัวใหญ่ด้วย มันจะต้องไปปิดอะไรล่ะ
จินดารัตน์- แล้วทำไมคุณสนธิถึงไม่อายล่ะคะ
สนธิ- ทำไมจะต้องอาย ผมไม่ได้ไปปล้นใคร มันเป็นความล้มเหลวทางธุรกิจ ผมไปค้ำประกันหนี้เอาไว้ ถามว่ามีใครบ้างไม่เคยค้ำประกัน คนทำธุรกิจ ทุกคนค้ำประกัน แล้ว 2540 เศรษฐกิจทั้งโลกพังหมด
จินดารัตน์- ไม่ได้เจ๊งคนเดียว
สนธิ- ไม่ได้เจ๊งคนเดียวมันเจ๊งหมดทุกคน ผมก็สู้ ผมไม่ได้หนีหนี้ ผมสู้ ผมสู้จนกระทั่ง คือเขาฟ้องผมทำไม ผมพร้อมจะประนอมหนี้อยู่แล้วตอนนั้น คล้ายๆ มานั่งรวมตัวกันแล้วเซ็นสัญญาว่าขอประนอมหนี้นะ 8,000 ล้าน ลดให้เหลือเท่าไหร่ คือผมเป็นคนค้ำประกันผมไม่ควรจะจ่ายหมด ผมควรจะจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ 50 เปอร์เซ็นต์ จ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ 4,000 ล้าน ลดให้เท่าไหร่ ลดให้ครึ่งนึง 2,000 ล้าน 2,000 ล้านแบ่งจ่ายยังไง แบ่งจ่ายจนกระทั่งผมเกิดชาติหน้าก็ต้องจ่ายต่อ ก็ว่ากันไป คือพร้อมจะทำ แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ชอบที่ผมไปวิพากษ์วิจารณ์เขา เขาเลยเอาให้ตาย เหมือนกัน เหมือนคุณทักษิณเอาให้ตาย
จินดารัตน์- ตอนนั้นคุณสนธิมีทั้งโรงแรม ธุรกิจในต่างประเทศเยอะมาก
สนธิ- มีครับ ผมมีโรงแรมที่เวียดนาม ผมมีโรงแรมที่ลาว โรงแรมที่ลาวขายทิ้งตอนหลัง
จินดารัตน์- ตอนมาทำ ASTV
สนธิ- ขายทิ้งก่อนล่วงหน้า แล้วมีธุรกิจหลายอย่าง
จินดารัตน์- คุณสนธิตอนนั้นมีสตางค์เยอะ
สนธิ- มีหนี้เยอะ
จินดารัตน์- มีธุรกิจเยอะก็ร่ำรวยพอสมควร ในใจคิดว่าจะต้องรวยกว่านั้นหรือทำไปเพราะอยากทำ หรือยังไง
สนธิ- มันเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ คือมีความรู้สึกว่าตัวเองอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง ความจริงการล้มละลายครั้งนั้นเป็นการปูพื้นฐานให้เรามีความรู้สึกว่า ชีวิตจริงๆ แล้วพอเพียงดีที่สุด ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความเท่ห์ ความเท่ห์กินไม่ได้ ช่วงหลังผมเลยเข้าใจ แต่มันมีปรากฏการณ์ล้มละลายบางอย่างที่ผม ตอนที่เขายังไม่ฟ้องผมล้มละลายแต่ธุรกิจพังหมดแล้ว ตอนนั้นหลวงตากำลังระดมทองคำเพื่อช่วยชาติ ผมมีทองคำอยู่ประมาณ 40 แท่ง แท่งนึง 10 บาท 40 แท่ง 400 บาท เราก็มองทองคำ ผมก็ถาม อ.ปุ๊ นี่ก็เป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ นะ ตอนนั้นบาทละประมาณ 4,000 1.6 ล้าน สมัย 13 ปีที่แล้วก็เยอะ สักปี 2539 ย่าง 40 ต้นๆ ปี 40 เอายังไง ปรากฏว่าเราตัดสินใจ ไม่เสียเวลาเอาไปมอบให้หลวงตา เอาไปเข้าคลังหลวง ทำบุญครั้งนั้นไม่ได้คิดยักเก็บเอาไว้เพื่อตัวเองใช้ ช่างมันหมดๆ ไป ก็เป็นเรื่องประหลาดใจ น่ามหัศจรรย์มาก เพราะว่าช่วงหลังๆ พอมีการติดขัดจะมีคนมาช่วยตลอดเวลา คือผมกำลังจะพูดว่า บุญกุศลบางเวลาถ้าทำแล้วอย่าไปเสียดาย เราก็มองมีทองคำอยู่ 400 บาท แล้วยังไงเราก็มีข้าวกิน ใช่ไม่ใช่ ก็เลยตัดทิ้งไปเลย
จินดารัตน์- ตอนนั้นครอบครัวเข้าใจกันดีไหมคะ อย่างอาจารย์หญิงกับคุณปั๊บ คุณจิตตนาถ
สนธิ- ปั๊บตอนนั้นเขาเพิ่งจะหนุ่มๆ เข้าใจ ทุกคนเข้าใจ แม้กระทั่งการสู้ปี 48, 49, 50 ผมเรียกปุ๊แล้วก็ปั๊บ ผมบอกว่า ผมเรียกตัวผมว่า ป๋า บอกป๋าต้องสู้ พ.ต.ท.ทักษิณ นะ เพราะว่าป๋าไม่สู้ไม่ได้ ถ้าป๋าไม่สู้ชีวิตนี้นอนตายตาไม่หลับ แต่ว่าผลของการสู้มันจะลำบากนะ เผอิญปุ๊เขาเป็นอาจารย์ เขามีเงินบำนาญอยู่แล้ว เขาก็อยู่ได้ เขาบอกเขาอยู่ได้อยู่แบบสมถะเขาอยู่ได้ ผมก็เลยถามลูกชาย ปั๊บว่าอะไรป๋าไหมถ้าสู้แล้วมันเจ๊งหมดทุกอย่างแล้วปั๊บไม่มีอะไรเลย เขาบอกเขาโอเคแล้ว ป๋าเลี้ยงมาเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปั๊บก็เต็มใจ ไม่ขัดข้อง ผมก็เลยจำได้ไหม ผมเรียกพนักงานทุกคนไป ผมให้ทุกคนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมบอกว่า อาจจะมีปัญหา เงินเดือนอาจจะไม่มี ถ้าคุณรับไม่ได้คุณลาออกไป ถ้าคุณคิดจะร่วมขบวนการสู้กับผมก็สู้ต่อไป ไม่ใช่พูดเฉพาะนั่นผมพูดหมดทุกคน
จินดารัตน์- จำได้ค่ะ คุณสนธิเรียกไปที่บ้านพระอาทิตย์
สนธิ- ใช่บ้านพระอาทิตย์ ยืนอยู่ข้างๆ สระน้ำ
จินดารัตน์- บอกว่า ถ้าใครคิดว่าอยู่ไปแล้วลำบากเงินเดือนได้บ้างไม่ได้บ้างให้ลาออกไปเลยวันนี้ไม่ว่ากัน แอนจำได้นะคะวันนั้น สุดท้ายไม่มีใครลาออกแม้แต่คนเดียว คุณสนธิคะ ความรู้สึกในครอบครัว การให้กำลังใจกัน
สนธิ- สำคัญ ถ้าสมมุติปั๊บเขาต้องสู้ในเรื่องอะไร แล้วผมเห็นว่าการสู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมเป็นแบล็คเขาเต็มที่ ฉันใดฉันนั้นผมได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาเต็มที่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกฝากคุณแอนแล้วก็ผู้ชมที่บ้านคือ ส่วนหนึ่งที่พวกเรา ผมชนะ และพี่น้องชนะ เพราะว่าเราเอาธรรมนำหน้า การเอาธรรมนำหน้าไม่มีทางที่คนอย่างคุณทักษิณจะชนะเราได้ หรือคนอย่างคุณเฉลิม หรือใครที่รังแกเรา ไม่มีทาง แพ้เราแน่นอน เพราะเราชูธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้ามีมานานแล้ว 2,000 กว่าปีแล้ว แล้วไม่เคยพิสูจน์ว่าผิด ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยธรรม เพราะฉะนั้นการเอาธรรมนำหน้าเป็นการสู้ที่ไม่ผิด เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามถ้าสู้โดยใช้ธรรมนำหน้าผมจะสนับสนุนเต็มที่
จินดารัตน์- มันเป็นสัจจธรรม
สนธิ- แน่นอน
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่กลัวหรอคะตอนนั้นตัดสินใจ สู้กับยักษ์ใหญ่นะคะ
สนธิ- มันกลัวจนหายกลัว
จินดารัตน์- กลัวจนต้องกล้า คือผมมามองแล้ว ตรงนู้นก็กลัวตรงนี้ก็กลัว คนนู้นก็กลัวคนนี้ก็กลัว เอ๊ะมันกลัวอะไร 1. มันกลัวทรัพย์สมบัติสูญเสีย 2. มันกลัวชีวิต ทรัพย์สมบัติสูญเสีย ผมก็มองว่าเอ๊ะ พรุ่งนี้เราตายไปนาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่รู้ของใคร ไม่รู้จะเป็นของลูกชายผมหรือเปล่า อาจจะทำหายไปแล้วก็ได้ แหวนก็ไม่ใช่ของผม เพราะฉะนั้นแล้วมันไม่มีอะไรที่เราจะเอาติดตัวไปได้ ไปกลัวตายทำไม ผมเป็นคนเชื่อกฎแห่งกรรมมากที่สุด คือคนเรา อย่างที่พี่ลองพูดตลอดเวลา นอนอยู่กับบ้านดีๆ รถตกจากทางด่วนมาทับตัวเองตาย เพราะฉะนั้นแล้วคนเราถ้าไม่ถึงที่ตายยังไงก็ไม่ตาย เมื่อเราไม่กลัวตาย หรือเราเตรียมตัวตายแล้ว สำคัญมากนะ พวกเราต้องเตรียมตัวตาย จิตเราต้องนิ่ง ถ้าเราเตรียมตัวตายเราไม่กลัวตาย ก็เหลืออยู่ทรัพย์สิน ถ้าเราไม่กลัวตายเราเสียดายทรัพย์สินทำไม ผมไม่เห็นจะเสียหาย วันนี้มีรถใช้พรุ่งนี้ไม่มีรถก็ไม่เสียหาย อะไร ยิ่งพอสู้มากขึ้นๆ รู้จักพ่อแม่พี่น้องมากขึ้น ผมเชื่อว่าคนอย่างผมไม่มีวันจน เพราะผมไปที่ไหนก็มีแต่คนต้อนรับ ถ้าผมไม่มีกินจริงๆ ไม่มีบ้านอยู่ ผมเชื่อว่าพี่น้องทั่วประเทศจะแย่งกันบอกมาอยู่บ้านฉัน
จินดารัตน์ -เห็นด้วย พอฟังแล้วในชีวิตคุณสนธิ แอนว่าเจออะไรที่สุดๆ สูงสุดคืนสู่สามัญ พูดอย่างนี้ได้ไหมคะ
สนธิ- ได้ๆ
จินดารัตน์- แอนอยากให้พ่อแม่พี่น้องได้ดูรูป รูปถ่ายในอดีตที่คุณสนธิเคยไปถ่ายภาพไว้กับระดับผู้นำประเทศ รัฐมนตรีของจีนก็มี
สนธิ- รูปนี้คนที่นั่งข้างๆ คือ ท่านหวาง เจ้ากั๋ว หวาง เจ้ากั๋ว เป็นหนึ่งในปูลิศบูโลของประเทศจีน ยิ่งใหญ่มาก อดีตเป็นรัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือ ภาษาจีนเรียก ต่งจ้านกู้ เขามีศักเหมือนพี่ชายผม แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนล้มละลาย แล้วช่วงล้มละลายผมหายไปตั้งนานเคยเจอเขาครั้งนึงเขาต่อว่าผม เขาบอกว่า ทำไมเวลาลำบากไม่นึกถึงเขา ไม่บอกเขา
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่เคยไปขอความช่วยเหลือ
สนธิ- ผมไม่เคยขอใครทั้งสิ้น
จินดารัตน์- ขอดูภาพต่อไปนะคะ ภาพนี้ถ่ายที่เมืองจีน ผู้หญิง 3 คน เป็นคนจีนทั้ง 3 คน
สนธิ- คนที่ใส่เสื้อแดงชื่อ มาดามซ่ง เหวยกุ้ย ตายไปแล้ว มาดามซ่งมีสามีเป็นชาวบูเกเลีย เป็นนักออกแบบดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง จักรพรรดิองค์สุดท้าย มาดามซ่งเล่นเป็นซูสีไทเฮา ส่วนคนสวยๆ ที่อยู่ริม
จินดารัตน์- ขอดูอีกรูปค่ะจะเห็นหน้าชัด ขอดูอีกรูปนะคะ เสื้อดำคือคนนี้ จำได้ไหมคะใคร
สนธิ- กงลี่ ครับ กงลี่สนิทกับผมมาก เมื่อ 16-17 ปีที่แล้ว กงลี่ตอนนั้นเพิ่งจะเลิกกับจาง อี้โหว
จินดารัตน์- ผู้กำกับ
สนธิ- แล้วไปเจอที่เมืองจีน แล้วกงลี่ขอให้ผมอยู่เมืองจีนกับเขา ผมบอกไม่เอา
จินดารัตน์- อันนี้พูดเล่นพูดจริงคะ
สนธิ- พูดจริง
จินดารัตน์- จริงหรอคะ
สนธิ- ผมบอกผมขอกลับมาเมืองไทย แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนหลังเขาไปแต่งงานใหม่ ตอนนี้เขาโอนสัญชาติเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้ว กงลี่เป็นคนซันตุง
จินดารัตน์- แสดงว่าตอนหนุ่มๆ เนื้อหอมหน้าดูซิคะ
สนธิ- ก็ดูหน้าตาซิ
จินดารัตน์- ขอขำหน่อยนะคะ เห็นไม่ชัด ดูรูปต่อไปเลยค่ะ รูปต่อไปนี่ อ.ชัยอนันต์ ใช่ไหมคะ
สนธิ- ตอนนั้นไปออสเตรเลยแล้วได้เจอ ฮอร์คีติ้ง ตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย คุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
จินดารัตน์- คุณสนธิอายุเท่าไหร่คะตอนนั้น
สนธิ- 40 กว่า
จินดารัตน์- ภาพต่อไปเลยค่ะ
สนธิ- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มอบดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์สาขาเศรษฐศาสตร์ให้ผม พร้อมกับท่านอานันท์ ปันยารชุน ผมโชคดีในช่วงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพลานามัยแข็งแรงอยู่ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่านเอง นี่ถ่ายรูปที่หน้าตึกอธิกาบดี
จินดารัตน์- ต่อไปเลยค่ะ
สนธิ- มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ควีนส์แลนด์ มอบดุษฎีบัณฑิตสาขาธุรกิจให้ผม ที่ออสเตรเลีย
จินดารัตน์- นี่ที่ไหนคะ ที่เวียดนาม
สนธิ- เวียดนามครับ คนที่แต่งชุดซาฟารี ชื่อ ท่านโด๋ เหมย ท่านโด๋ เหมย เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามตอนนั้น ผมเป็นคนไทยคณะแรกที่เข้าไปเยือนเวียดนามเหนือ แล้วเข้าไปแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับท่าน ท่านโด๋ เหมย เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก แต่ท่านเสียไปแล้วตอนนี้ สมัยก่อนเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามใหญ่มาก คือคนกำหนดทิศทางของประเทศ
จินดารัตน์- คล้ายๆ กับจีน
สนธิ- คล้ายๆ จีน
จินดารัตน์- ภาพต่อไปค่ะ
สนธิ- ฝรั่งที่นั่งข้างๆ ผม ชื่อ วิชเชตเตท ไวท์เลอร์ เป็นเพรสซิเด้นของพับบลิกคอลเลจ อยู่ที่เมืองออนิวออตร้า อัพสเตรทนิวยอร์ก พับบลิกคอลเลจมีชื่อมากในอเมริกา เด็กที่มาเรียนมหาวิทยาลัยนี้จะจบปริญญาตรีแล้วไปต่อปริญญาโทที่ฮาร์เวิร์ด บางคนเรียนแค่ 2 ปี บางคนเข้าฮาร์เวิร์ด เข้าเยียวไม่ได้มาเข้าฮาร์ดวิค เรียน 2 ปีแล้วทรานเฟอร์ไปต่อฮาร์เวิร์ด ที่วิชเชต ไวท์เลอร์ ให้ปริญญาเอกผม สาขาอักษรศาสตร์ นี่เป็นวันที่เข้าพิธี
จินดารัตน์- ภาพต่อไปนะคะ
สนธิ- ให้เห็นว่า วันรับปริญญาฝรั่งเขาจัดที่สนาม เป็นกันเองสบายๆ อากาศเย็นเฉียบ
จินดารัตน์- ภาพนี้ อันนี้ที่ไหนคะคุณสนธิ
สนธิ- พระราชวังต้องห้าม ที่ปักกิ่ง คุณเห็นหรือยัง
จินดารัตน์- ขอภาพต่อไปค่ะ
สนธิ- ไม่แน่จริง
จินดารัตน์- ภาพนี้
สนธิ- เหมยเหมย
จินดารัตน์- หมีจริงใช่ไหมคะ
สนธิ- จริง คือเป็นสถานที่เลี้ยงหมีแพนด้า ที่เสฉวน เขาจะให้แขกรับหมีแพนด้าเป็นลูก แต่ต้องให้เงินค่าเลี้ยงเขา ผมเลยรับมาคนนึงชื่อ เหมยเหมย รู้สึกเหมยเหมยจะเป็นแม่พันธุ์หมีแพนด้าในช่วงหลัง โตขึ้นมาแล้วออกลูกออกหลานเต็มไปหมด ตัวหนักมาก สมัยนั้นนายแล้วครับ 15 16 20 ปี
จินดารัตน์- ขอภาพต่อไปนะคะ
สนธิ- ที่ฮาร์ดวิค คอลเลจ
จินดารัตน์- หมดแล้วภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่เก็บภาพเก่าๆ มาให้ดู คุณสนธิโดยปกติลักษณะนิสัยเป็นคนไม่ยอมแพ้คน
สนธิ- ไม่ใช่ คือถ้าใครเอาความถูกต้องมาว่าผมผมจะถอย แอนก็รู้เวลาผมประชุมทุกคนอาจจะกลัวผม แต่ถ้าผมจะเอาอย่างนี้แล้วบางคนไม่เห็นด้วยถ้าเหตุผลเขาดีผมก็เอาตามเขา ถ้าเป็นคนอย่างนี้ไม่ใช่คนไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่ ผมเป็นคนไม่สนใจรายละเอียด ใครจะเล่าจะเท้าความผมบอกหยุด ผมบอกประเด็นอยู่ที่ไหน ผมเร็ว คุณไม่ต้องมาเล่าให้ผมฟัง คือหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ มันเหมือนลูกผม ทำมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน สำนักพิมพ์ เว็บไซต์ ทีวี ทีวี 4 ปี ผมเรียนรู้มากกว่าคนซึ่งอยู่ในทีวี 20 กว่าปี เพราะฉะนั้นแล้วปัญหาอยู่ที่ไหนให้รีบบอกว่าอยู่ที่ไหน ผมบอกทำไมไม่แก้อย่างนี้ๆ แต่ถ้ามาเล่าแบล็คกราวน์ให้ฟังไม่ต้อง
จินดารัตน์- เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย นักเลง สปอร์ต จริงหรือเปล่าคะ
สนธิ- ขึ้นอยู่กับคนมองว่ากล้าได้กล้าเสียแบบไหน ถ้าเอาการต่อสู้มาวัด ก็กล้าได้กล้าเสียเพราะว่าชูธรรมนำหน้า แต่ถ้าธุรกิจ ถ้าเป็นเรื่องสื่อมวลชนก็กล้าได้กล้าเสีย เพราะมีอยู่หลายช่วงที่สามารถจะรับเงินมาได้เยอะๆ แล้วบิดเบือนตัวเอง ก็ไม่รับ ยอม
จินดารัตน์- คิดอะไรอยู่คะคุณสนธิ
สนธิ- ไม่ได้คิด คุณแอน มันมีความรู้สึกว่า ข่าวกับความเห็นต้องเป็นอย่างนี้ จะสั่งให้ผมทำอีกแบบได้ยังไง ก็ในเมื่อมันเลวจะให้ผมบอกมันดีได้ยังไง ผมเวลามองปัญหาสื่อสารมวลชนผมจะมองไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นจะบอกว่า สื่อสารมวลชนต้องเป็นกลาง ผมบอกในกรณีเป็นกลาง หมายความว่า สื่อสารมวลชนโง่ แต่ถ้าเรารู้ เรามีองค์ความรู้ ก็เรารู้มันเลว เป็นกลางได้ยังไง หลักฐานก็มี เราก็ต้องฟันธงไปซิ เราจะยืนข้างนี้เราไม่ยืนข้างนั้น ตรงนี้เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แม้กระทั่งอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ผมเคยสอนปริญญาโท ปริญญาเอกอยู่มหาลัยธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์สื่อสารมวลชน อาจารย์มหาลัยหลายคนดีขึ้น เพราะลูกศิษย์ผมหลายคนที่ผมสอนจบไปแล้วไปเป็นอาจารย์ แต่อาจารย์รุ่นเก่าๆ จะบอกว่า สนธิไม่รู้เรื่องสื่อสารมวลชน เขาบอกต้องให้เวลาเท่ากัน ต้องสัมภาษณ์ทั้ง 2 ฝ่าย ผมถามว่าเวลาคุณสัมภาษณ์คนถูกตี คนที่ถูกตำรวจฆ่า แล้วคุณไปสัมภาษณ์ตำรวจ ตำรวจบอกว่าไม่จริงๆ คุณไปเสียเวลาสัมภาษณ์ทำไม ในเมื่อองค์ความรู้คุณบอกว่า ตำรวจเป็นคนฆ่าประชาชน เป็นคนตีประชาชน คุณไปเสียเวลากับมันทำไม เหมือนนายอำนวย นิ่มมะโน เที่ยวให้สัมภาษณ์อย่างโน้นอย่างนี้ บอกมีระเบิดอยู่ในมือ คุณไปเสียเวลาทำไม แสดงว่านักข่าวมันโง่ มันต้องมีปัญญา แล้วนักข่าวทีวี หนังสือพิมพ์ ส่วนใหญ่ในเมืองไทยเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเทศชาติถึงไม่เจริญ
จินดารัตน์- คุณสนธิเป็นคนมองอะไรไม่เหมือนใคร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
สนธิ- ไม่ใช่ สังคมไทยไม่สอนให้คนมองอย่างรอบด้าน นี่คือการสะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาบ้านเราว่าใช้ไม่ได้ คุณแอนต้องดูแลลูกตัวเองให้ดีๆ นะ
จินดารัตน์- พูดไม่ออก คือกำลังกลุ้มใจอยู่เหมือนกันเรื่องระบบการศึกษา
สนธิ- การศึกษาบ้านเราคุณภาพต่ำมาก เมื่อคุณภาพต่ำสังคมต่ำตาม พอสังคมต่ำเราก็ได้คนในวงการที่ต่ำๆ ที่ใช้ไม่ได้ เหมือนพวกที่อยู่ NBT แม้กระทั่งคนอย่างคุณสรยุทธ์ ผมยังสงสัยว่า เขาเป็นคนรุ่นที่ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร องค์ความรู้เขาไม่มีเชียวหรือ ทุกวันนี้เขายังเรียกคุณทักษิณว่านายกฯ ทักษิณ แต่เขาเรียกนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่าคุณอภิสิทธิ์ ผมถึงบอกว่าผมเสียดายคุณภาพของคน แล้วผมเสียดายคุณสรยุทธ์ คุณสรยุทธ์คนเดิมหายไปแล้ว แกกลายเป็นคนประเภทไหนผมไม่รู้เหมือนกัน ผมคิดว่า หนังสือที่แกเขียน กรรมกรข่าว กับสิ่งที่แกทำมันเหมือนแกเขียนหนังสือโกหก มันไม่ได้เลย
จินดารัตน์- มิน่าคนถึงคืนไปเยอะ
สนธิ- คืนเยอะ คนเคยซื้อหนังสือกรรมกรข่าวคุณสรยุทธ์ส่งคืนไปหมดเลย เขาบอกเขาไม่กล้าให้คนอื่นเพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเสียไปด้วย เลยส่งให้คนเขียนคืนไปเลย
จินดารัตน์- คุณสนธิชีวิตจะอยู่บนความเครียดตลอดเวลาหรือเปล่า รู้ว่าปล่อยวางได้ ชีวินนอกเหนือการชุมนุมแล้วทำอะไรบ้าง ฟังเพลงบ้างไหม ดูหนังเข้าโรงหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่จำได้
สนธิ- จำได้ ไปดูหนังเรื่องสามก๊ก ตอนนั้นกำลังประท้วงอยู่ แต่อยากดูสามก๊กมาก เพราะอยากดูจอห์น วู ซึ่งเป็นผู้กำกับ จะกำกับยังไง ไม่รู้จะดูยังไง จะไปเข้าตามคิวก็ไม่ได้ เลยโทรศัพท์ไปหาเจ้าของโรงหนัง คุณพูน วรรักษ์ ก็บอกแกอยากดูหนังพาพรรคพวกไป แกก็ดีนะ
จินดารัตน์- แกจัดให้
สนธิ- แกปิดโรงให้ 1 โรง แต่ต้องไปเช้า ไม่มีใครนึกว่าเราจะไปดู รอบพิเศษ
จินดารัตน์- ซึ่งพนักงานแตกตื่นกันมาก
สนธิ- จริงๆ แล้วผม ตอนช่วงเช้าๆ ผมเป็นคนซึ่งไหว้พระไหว้เจ้าตลอด ผมเช้าที่ทำงานผมจะไหว้องค์จตุคามรามเทพ
จินดารัตน์- นี่คือห้องพระที่ทำงาน
สนธิ- นี่ห้องพระผม นี่เป็นห้องพระใหญ่ ผมจะจุดธูป ผมจะไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน ไหว้เสร็จเรียบร้อยแล้วผมจุดธูปอีก 1 ดอก ไปไหว้เจ้าของบ้าน ท่านเจ้าพระยาวรพงษ์ พิทักษ์ ผมไหว้เป็นประจำทุกวัน เสร็จแล้วไหว้พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ซึ่งเป็นโต๊ะหมู่บูชาของท่านโดยเฉพาะ บนโต๊ะหมู่บูชาท่านมีอัฐิ ซึ่งพ่อแม่พี่น้องหลายท่านอาจจะสนใจ มีอัฐิหลวงปู่เสาร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น แล้วมีอัฐิหลวงปู่มั่นอยู่ด้วย อัฐิกลายเป็น เหมือนพระธาตุกลมๆ ข้างนอกบ้านจะไหว้ ท้าวจตุรงคบาท พระพุทธเจ้ามีท้าวจตุรงคบาท 4 องค์คอยปกป้อง เราใช้ท้าวจตุรงคบาทเป็นคนปกป้องบ้านพระอาทิตย์ แล้วสัมผัสท่าน ข้างล่างจะมีไหว้จตุคาม เสร็จแล้วไหว้พระอุปคต ไหว้ท่านจตุคามรามเทพ ธูป 5 ดอก
จินดารัตน์- นี่คือกิจวัตรประจำวัน
สนธิ- ทุกครั้งที่เข้าที่ทำงาน แม้กระทั่งวันหยุดก็มาไหว้ แล้วไปไหว้พระอุปคต ซึ่งท่านเป็นพระที่จะต้องอยู่ในน้ำ หรือที่เขาเรียกว่า พระบัวเข็ม
จินดารัตน์- ฐานจะเป็นน้ำ
สนธิ- แล้วท่องคาถาท่าน เสร็จแล้วไปไหว้พระแม่ธรณี ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน เสร็จแล้วไปไหว้ศาลพระเจ้าตาก เพราะท่านเป็นคนกู้ชาติกู้บ้านกู้เมือง แล้วไหว้พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางตายาย ทำอย่างนี้ทุกวัน เสียเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ไหว้พระที่ห้องพระจะสวดมนต์ แล้วระลึกถึงครูบาอาจารย์ นี่เป็นห้องทำงานผม จะเข้าเช็กเว็บไซต์ตลอดเวลาเพื่อให้คำแนะนำพวกคนที่ทำว่าเป็นยังไง
จินดารัตน์- มีคุณผู้ชมทางบ้านถามมาว่า คุณสนธิไหนบอกเป็นลูกจีน แล้วทำไมเป็นเจ้าของบ้านพระอาทิตย์กับบ้านเจ้าพระยาได้
สนธิ- บ้านเจ้าพระยานี่เช่า บ้านพระอาทิตย์ผ่อนส่ง
จินดารัตน์- ยังผ่อนอยู่
สนธิ- ผ่อนอยู่ ยังเป็นหนี้เขาอยู่ บ้านพระอาทิตย์ ออฟฟิศแต่ก่อนจะอยู่ติดบ้านพระอาทิตย์ เป็นตึกแถว ผมเช้าๆ จะมองลงมาบ้านพระอาทิตย์ มีความรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก มีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นยังเป็นเพิงหญ้า สมัยก่อนเป็นสถาบันเยอรมัน สถาบันเกอร์เต้ มองก็ชอบๆ ไม่รู้เป็นยังไง เหมือนกับว่าชาติก่อนเราเคยอยู่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วันนึง ตอนนั้นมีเงินอยู่ไปถาม วันนั้นไปกินอาหารเที่ยงที่โรงแรมปริ๊นเซส ห้องอาหารญี่ปุ่น มิตะโดะ ไปเจอพี่ชูชีพ ศิลป์นพรัตน์ อดีตผู้อำนวยการเขตพระนคร แกเสียชีวิตไปแล้ว สนิทกันมาก แกอยู่เขตพระนคร ผมบอก พี่ชีพใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ อ้าวพี่เอง พี่วางมัดจำไว้ 10 ล้าน แล้วทำไมพี่ไม่เอา พี่พาหลวงตาจัน วัดป่าไชยรังษี ไปดู ท่านบอกว่าเขาไม่ให้มึงอยู่ แล้วพี่จะทำยังไง เดิมทีพี่จะซื้อให้ลูก แล้วพี่ต้องการสร้างเป็นคอนโด ปรากฏว่าบ้านพระอาทิตย์ขึ้นทะเบียนกรมศิลปากร ทุบไม่ได้ มันไม่คุ้ม บอกพี่ดีแล้วทุบได้ไงบ้านหลังนี้มันจะ 100 ปีแล้ว ประวัติศาสตร์ยาวนาน เอาไหมสนธิเอาไหม จ่ายเงินค่ามัดจำคืนพี่แล้วเอาไปเลย ก็เลยจ่ายคืน ปรากฏว่า เป็นบ้านของต้นตระกูลอิสระเสนา ท่านเจ้าพระยาวรพงษ์ ชื่อ ม.ร.ว.เย็น อิสระเสนา
จินดารัตน์- ในบ้านยังมีรูปภาพ
สนธิ- ไม่มี เราไปหามา ผมเคารพเจ้าของบ้าน ผมไปหาจนได้รูปเจ้าของบ้านมา ก็มาบูชาเขา อยู่บ้านใครก็ต้องบูชาเขา
จินดารัตน์- แต่มีรูปผู้หญิงคนนึง ขอดูภาพ
สนธิ- อันนี้รูปท่านเจ้าพระยาวรพงษ์
จินดารัตน์- นี่คือต้นตระกูล
สนธิ- ต้นตระกูลอิสระเสนา แล้วเป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริง แล้วมีรูปไหนครับ
จินดารัตน์- จะมีรูปผู้หญิงอยู่คนนึงค่ะคุณสนธิ เป็นรูปคุณแม่
สนธิ- อ๋อนี่คุณแม่ผม คุณแม่ผมเสียชีวิตไปนานพอสมควร
จินดารัตน์- เดินเข้าไปในบ้านพระอาทิตย์ ในออฟฟิศคุณสนธิจะเห็นภาพนี้ก่อนเลย
สนธิ- รูปนี้ คุณแม่ผม รูปนี้ อ.จักรพันธุ์ วาดให้ จะบูชาด้วยดอกมะลิทุกวัน
จินดารัตน์- นี่นะคะที่ใส่กางเกงกุยเฮง
สนธิ- นี่แหละใส่กางเกงกุยเฮง ขอให้รู้ไว้ซะด้วยนะครับ ผมมีความรู้สึกว่า พวกเราจะอยู่บ้านหลังไหนก็ได้ ขอให้เราระลึกถึงเจ้าของบ้านเก่า ดีๆ ชั่วๆ เราไม่รู้จักเราต้องไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้ดวงวิญญาณที่อยู่ที่นั่น อย่างน้อยจุดธูปสัก 5 ดอก บนบานบอกเขา บอกว่าเรามาขออยู่บ้านหลังนี้นะ แล้วปักบนสนามหญ้าก็ได้ นานๆ ที สัก 2-3 เดือน นิมนต์พระมาทำบุญให้เขาสักทีนึง ของแบบนี้เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องจิตวิญญาณปฏิเสธไม่ได้ แล้วเป็นอะไรบางอย่างซึ่ง มันสบายใจเรา ในขณะเดียวกันคนที่คบเรารู้ว่าเราเป็นคนให้ความเคารพคน เจ้าที่เจ้าทางมีอยู่เราไม่ดูถูกดูหมิ่นเขา
จินดารัตน์- ได้ข่าวว่าช่วงชุมนุม อ.ภูวดล เคยไปนอนที่บ้านพระอาทิตย์แล้วมีคนมาเยี่ยมเยียนด้วยหรอคะ
สนธิ- ผมก็ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวจะหาว่าผมเล่นไสยศาสตร์อีก เอาเป็นว่าบ้านพระอาทิตย์เป็นบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ ข้อที่ 1. เราเอาธรรมนำหน้า ข้อที่ 2. พระพุทธรูปที่อยู่ในห้องพระใหญ่ องค์จตุคามรามเทพ ศาลพระเจ้าตากสิน หรือวัตถุโบราณ ผมมีแม้กระทั่งสิ่งศักดิ์ของหลวงปู่เย็น องค์พระอรหันต์ทั้งหลายสายพระอาจารย์มั่นมีแทบทั้งนั้น เรากราบไหว้บูชา เราสวดภาวนาทุกวัน ช่วงที่ต่อสู้บางคืนผมมานั่งสมาธิ กลางคืนที่ห้องพระ นอนที่นี่ มันมีความเย็น ผมคิดว่าที่ไหนก็ตามถ้าเราอยู่ด้วยความเคารพ ถ้าเราอยู่ด้วยจิตที่มั่นคง ถ้าเราอยู่ด้วยจิตที่ใส่บริสุทธิ์ ที่นั้นศักดิ์สิทธิ์
จินดารัตน์- แต่น้องๆ ไม่ค่อยกล้า
สนธิ- เป็นปรากฏการณ์ซึ่งผมไม่เคยเจอ เป็นคนเดียวที่ไม่เคยเจอ แต่คนอื่นจะเจออยู่เรื่อย
จินดารัตน์- แม้กระทั่งพวกมาปาระเบิด
สนธิ- พวกปาระเบิดก็แปลก ปาไม่เข้า แปลกมาก แต่นี่เรื่องจริง แม่บ้านที่ทำงานอยู่ทั้ง 2 คน เจอบ่อยจนชิน
จินดารัตน์- เสมือนเป็นครอบครัว
สนธิ- เป็นครอบครัวไปเลย บางวัน วันดีคืนดีจะเห็นผู้หญิงแต่งชุดสไบสวยเดินลงจากข้างบน แต่ผมไม่เคยเห็น
จินดารัตน์ -แต่น้องจูนเคยเล่าให้ฟัง ทีมงาน พี่น้องจำได้ไหมคะ น้องจูนจะเป็นเวทีที่ทำเนียบ วันดีคืนดีคุณสนธิบอกว่า จูนไปดับธูปในห้องพระซิ น้องจูนเดินไปในห้องพระ ไหนล่ะธูปไม่เห็นมีธูปสักดอก ไม่มีธุปจุดแต่มีกลิ่นธูป พอเดินออกมาปุ๊บจูนยกมือไหว้เลย นายขาไม่มีธูปค่ะ ธูปไม่ได้จุดอยู่ คือเขาจะเจอกันแบบนี้นะคะ แต่ไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวจนเกินเหตุ
สนธิ- แต่แม่บ้านเคยเจอผู้หญิงที่แต่ชุดไทยแล้วเดินลงจากบันได สวย แต่ผมไม่เคยเจอ บางทีผมนั่งอยู่ข้างล่างได้ยินเสียงเดินอยู่ข้างบนเขานึกว่าผมอยู่ข้างบน ข้างบนไม่มีใครเลย พอเขาเห็นหน้าผมอยู่ข้างล่างเหมือนผีหลอก ตกใจ
จินดารัตน์- แล้วใครอยู่ข้างบน
สนธิ- ผมเป็นคนชอบทำงานดึกๆ ที่บ้านพระอาทิตย์
จินดารัตน์ -แต่ไม่เคยได้ยินเสียงอะไร
สนธิ- ไม่มี อาจจะเป็นเพราะ หนึ่ง จิตเราหนักแน่นมั่นคงและเราไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เวลาผมไหว้พระห้องใหญ่ ผมไหว้ธูป 3 ดอก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสร็จแล้วผมจุดอีก 5 ดอก ผมระลึกถึงเจ้าที่ที่อยู่ในห้องพระ ที่อยู่ในบ้าน อยู่รอบๆ บ้าน อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วก็ปัก ก็เรียบร้อยไม่มีอะไร ข้างหลังห้องรับแขกเป็นที่วางศพ สมัยก่อนสมัยโบราณ เป็นที่วางศพ คนโบราณตายไม่เอาศพไปไว้ที่ห้องพระ เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นไปได้ นี่เป็นภาพวาดครับ ผมเป็นคนชอบภาพวาดมาก มีภาพวาดจากประเทศจีน จากศิลปิน นี่เป็นภาพวาดเหมือน ศิลปินชื่อ หวัง อี้ตง เป็นศิลปินที่วาดภาพได้สวยที่สุด อันนี้เป็นภาพวาดของจีน เป็นภาพโมเดิร์น เป็นผู้หญิงซึ่งผมซื้อมาจากเขา จะมีอยู่หลายๆ ภาพ มันเป็นอาร์ทแกลอรี่ซึ่งฝรั่งจะชอบมาก ผมเป็นคน เป็นภาพผู้หญิงที่สิบสองปันนา นี่เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 ภาพนี่เป็นภาพนางสนมสมัยราชวงศ์ชิง วาดโดยจ่าง กั๋วฟัง ภาพนี้ผมจ้างเขาวาดเมื่อปี 2535 16-17 ปีที่แล้ว ตอนนั้น 20,000 เหรียญ 500,000 บาท เขาวาดให้เสร็จแล้วบอก อย่าเอาไปแสดงที่ไหนให้เก็บไว้ที่บ้าน ผมบอกทำไม เขาบอกเขาวาดอยู่ภาพหนึ่งให้อีกคนหนึ่งเป็นชาวสวิตซ์ ให้แกลอรี่ แล้วเขาขายไปแล้ว เขาเลยบอกให้เก็บไว้ที่บ้าน มีตั้งไม่รู้กี่คนขอให้เอาภาพนี้ไปแสดง เพราะทั้งแสง ทั้งอะไรดีหมดเลยทุกอย่าง จ่าง กั๋วฟัง ผมต้องเล่าให้ฟังนิดนึง สมัยก่อนเขาชำนาญวาดภาพวัวควาย วันนึงเขาวาดรูปวัวดุ เหมือนวัวบ้า ปรากฏว่าคอมมิวนิสต์สั่งห้ามวาดรูปวัว เหตุผลเพราะวัวที่วาดพรรคคอมมิวนิสต์คิดว่าด่าพรรคคอมมิวนิสต์ว่าเป็นคนดื้อ นี่ไงวัว ฝีมือคนวาดภาพนางสนม ตอนหลังเปลี่ยนจากวาดภาพวัวมาวาดภาพนางสนมแทน วาดภาพผู้หญิงแทน วาดได้เหมือนมาก ภาพพวกนี้ส่วนใหญ่ผมจะซื้อเมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว นี่คือภาพผู้หญิงทิเบต วาดโดย อ้าย สุวรรณ อ้าย สุวรรณ พ่อเขาถูกจับจากพรรคคอมมิวนิสต์ข้อหาเป็นชนชั้นปกครอง เขาเลยโตมาด้วยความคั่งแค้น พ่อเขาและตระกูลเขาถูกส่งไปลี้ภัยที่ทิเบต เหมือนถูกส่งไปไซบีเรีย ความที่พ่อเขาเป็นศิลปิน เขาเลยชำนาญภาพทิเบต อ้าย สุวรรณ ตอนนี้มีมูลค่า นี่ภาพนี้วสันต์ สิทธิเขต มอบให้หลังจากที่เราประท้วงเสร็จ นี่ฝีมือวสันต์ สิทธิเขต
จินดารัตน์- เป็นเอกลักษณ์มาก
สนธิ- เป็นเอกลักษณ์
จินดารัตน์- อันนี้เป็นทิเบตหรือเปล่าคะ
สนธิ- เป็นทิเบตเหมือนกันครับ แต่เป็นศิลปินคนละคนกัน
จินดารัตน์ - คุณสนธิมีคำถามจากทางบ้านมาเยอะเกี่ยวกับครอบครัว บอกว่าอยากให้คุณสนธิพูดถึงลูกชาย ที่สำคัญจะสู่ขอลูกชายคุณสนธิจะทำยังไง มีสเปกไหม
สนธิ- นายปั๊บชื่อ จิตตนาถ คุณตาเขาเป็นคนตั้งให้ คุณตาเป็นทนายความใหญ่ ชื่อ คุณป๋าสุด ช่องดารากุล แกเสียไปนานแล้ว วันนี้ท่านมีชีวิตอยู่น่าจะอายุประมาณ 100 คุณป๋าสุดเป็นคนที่คุณชวน หลีกภัย พี่ชวน รักและเคารพมาก ใครที่เคยไปตรัง จะเห็นว่า ข้างๆ ศาลากลาง ตรงเนินเขา จะมีบ้านหลังใหญ่ คือบ้านป๋าสุด แกเป็นทนายความว่าความให้คนจน แกเป็นคนซึ่งมีปรัชญาอะไร แกชอบเขียนป้ายไว้ที่หน้าบ้านแก บอกว่า การยืมเงินทำให้เสียเพื่อน แต่ถ้าใครเดือดร้อนแกก็ให้ยืมนะ
จินดารัตน์- แปะไว้หน้าบ้านเลยหรอคะ
สนธิ -แปะไว้หน้าบ้านเลย นายปั๊บป๋าสุดเป็นคนตั้งชื่อให้ ชื่อ จิตตนาถ คือจิตใจสำคัญ แล้วเขาเป็นคนซึ่ง ตอนเด็กๆ เขาค่อนข้างโชคดีเพราะเขา คุณแม่เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มศว ประสานมิตร เด็กเขาเรียนที่ประสานมิตร จนกระทั่งจบ ป.6 หรือ ป.7 เขาไปต่อที่สาธิตปทุมวัน เรียนสาธิตปทุมวันได้สักถึง ม.4 เลยส่งเขาไปเรียนออสเตรเลีย ไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลีย จบไฮสคูลออสเตรเลียแล้วเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียได้ คือยูคิว สาขาเศรษฐศาสตร์ เขาเป็นคนมีความคิดอิสระ แต่เขาโชคร้ายตรงที่เขาต้องเดินตามรอยเท้าผม พอเขามาทำงานในวงการนี้ เงาผมมันใหญ่มากเกินไป ความจริงเขาเป็นคนเก่ง คนเลยดูว่าเขาทำงานสำเร็จเพราะพ่อเขา จริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่ผมไม่ได้มีหน้าที่มาปกป้องเขา ผมเคยพูดกับเขาตรงๆ บอกปั๊บต้องทนนะ เพราะปั๊บอยู่ภายใต้เงาของป๋า ปั๊บทำให้ดีแค่ไหนก็ตาม คนก็จะบอกว่า ก็พ่อมันสนธินี่หว่า เขาก็อดทน แต่เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีอะไรหลายอย่าง ทีนี้ปีนี้อายุ 34 แล้ว
จินดารัตน์- แต่คุณปั๊บเลือกจะเดินรอยตามพ่อ
สนธิ- เขาชอบอันนี้
จินดารัตน์- คุณสนธิไม่ได้บังคับ
สนธิ- ไม่บังคับ
จินดารัตน์- ไม่เคยวาดความหวังกับลูก
สนธิ- ไม่เคย เขาจะทำอะไรก็ทำ แม้กระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วผมยังนั่งจับเขาคุยกับเขาเลย เมื่อสัก 1-2 อาทิตย์ ผมบอก ปั๊บต้องตัดสินใจนะ จากนี้ไปว่าปั๊บจะทำหนังสือพิมพ์ ทีวี เว็บไซต์ ต่อหรือเปล่า ต่อจากป๋า
จินดารัตน์- ทำไมถึงให้ลูกตัดสินใจ
สนธิ- เพราะว่า ถ้าปั๊บจะทำต่อ ปั๊บต้องรู้ว่า หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ASTVทีวีของประชาชน แล้วเว็บไซต์ มันจะต้องเป็นสื่อมวลชนที่ต้องต่อสู้ตลอดเวลา ปั๊บพร้อมจะสู้ไหม ภูมิคุ้มกันปั๊มสู้ไหวไหม ไม่เหมือนป๋า ป๋าอยู่ในวงการบู้ลิ้มมาตั้งแต่เด็ก ป๋าผ่านหอก ผ่านดาบ ผ่านลูกปืน ผ่านทุกอย่าง ความกดดันมาจนกระทั่งป๋ามีภูมิคุ้มกันได้แล้ว แต่ปั๊บเจริญเติบโตมาไม่เหมือนกัน ปั๊บโตมาอย่างทะนุถนอม แล้วตอนที่ปั๊บเรียนหนังสือที่เมืองนอก ปั๊บก็ไม่ต้องทำงานอะไรมากมาย ไปอยู่ควีนส์แลนด์ก็ซื้ออพาร์ตเมนต์ติดแม่น้ำบริสแมน ผมเรียนอยู่ยูซีแอลเอ ผมตื่นตี 5 เดินไปทำงานร้านขายโดนัท 6 โมง 2 ชั่วโมง เพื่ออะไรรู้ไหม เพื่อกินโดนัทฟรี ไม่ต้องซื้ออาหาร แล้วเดินไปมหาลัย 11.30 น.ทำงานที่ห้องอาหารของมหาลัยเพื่อกินอาหารฟรี บ่ายโมงครึ่งออก เย็นทำงานห้องสมุด ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน เพื่อจะหาเวลาอ่านหนังสือแล้วได้เงินด้วย ซัมเมอร์ไปทำงานที่เลคธาโฮ บ่อนการพนัน ไปเสิร์ฟอาหาร เพราะฉะนั้นชีวิตผมกับชีวิตเขาไม่เหมือนกัน ผมเลยถามเขาบอกว่า ถ้าจะเอาต้องเตรียมตัว ถ้าคิดว่าสู้ไม่ไหวอย่ามาทำ ก็ไปทำงานซึ่งมันไม่เกี่ยวกับการเมือง เช่น เขามีนิตยสารหลายเล่มที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง นิตยสารธุรกิจ นิตยสารโพซิชั่นนิ่ง นิตยสารทางบันเทิง นิตยสารมาร์ส แคมปัส การ์ตูน ให้เขาทำไป เขาก็ดีนะ เขาบอก ขอเขาคิด 1 ปี ผมก็บอกว่าภายในปีหน้าถ้าผมไม่ตายก่อนเขาก็ต้องบอก
จินดารัตน์- ถ้าได้คำตอบว่าไม่ทำละคะคุณสนธิ
สนธิ- ผมก็ไม่ว่าอะไรเขา เป็นชีวิตที่เขาต้องเลือก แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องคิดหนักเรื่องนี้ เพราะเขาก็ร่วมสู้กับพวกเรามา แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่การสู้ ความกดดันทางการเมือง อีกอย่างหนึ่งเขาโตมากับผมโตไม่เหมือนกัน เพื่อนรุ่นเดียวกับเขาก็เป็นพวกไฮโซทั้งนั้น ไฮโซไฮซ้อประเภทซึ่งลับหลังก็ด่าพวกเรา ประเภทที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปิดสนามบิน ปิดทำไมเสียหมด ผมกลัวว่าเขาจะหวั่นไหว แต่ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนมีวิจารณญาณที่ดี เขาจะตัดสินใจอะไรผมยอมรับการตัดสินใจเขา เพราะเป็นชีวิตเขา แต่ว่า เขาจะตัดสินใจยังไงก็ตาม ผมยังมั่นใจว่า เขาจะเจริญเติบโตต่อไปเขาเป็นคนดีแน่นอน เพราะชีวิตเขาไม่เคยเอาเปรียบสังคม เขาเป็นคนเหมือนผมนะ ใครถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาจะทนไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่รังแกประชาชน
จินดารัตน์- มีคนเคยเขียนบทความหนึ่งคุณสนธิคะ เขาบอกเขาเชื่อมั่นในตัว 5 แกนนำ โดยเฉพาะคุณสนธิ เมื่อก่อนคุณสนธิเป็นยังไงเขาไม่สนใจ แต่วันนี้เขารู้แต่ว่า ความดีเอาชนะพวกเขาเหล่านี้แล้วทั้ง 5 คน คุณสนธิรู้สึกยังไงคะ
สนธิ- ผมก็ภูมิใจนะ คือในการสู้ การโจมตีกันในเรื่องของอดีตมันมีแน่นอน ผมถึงบอกกับพ่อแม่พี่น้องที่สนามหลวง ที่ผมก้มลงกราบพ่อแม่พี่น้องว่า อดีตดีก็มากเลวก็หลาย แต่วันนี้ขอทำความดีให้ชาติบ้านเมือง ถ้าหากจะไล่ความเลวกัน ผมเชื่อว่าสมัยผมหนุ่มๆ ผมก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน หรือว่าสมัยที่ผมยโสโอหัง ทำธุรกิจข้ามชาติ ผมก็เป็นคนซึ่ง โทษนะพูดจาหยาบนี่ กวนตีน คนเห็นผมหมั่นไส้ เพราะผมกร่าง แต่ผมคิดว่าผมผ่านช่วงเวลาทดสอบอันนั้นไปแล้ว และผมผ่านประสบการณ์และบทเรียนที่เจ็บปวด ผมเป็นคนรู้ตัวเอง ถ้าผมผิดผมบอกผมผิด ผมจะยอมรับว่าสมัยก่อนผมยโสโอหัง นัยตาอยู่บนศรีษะ ไม่เคยเห็นคนอยู่ในสายตา ผมยอมรับว่าผมเป็นคนเลวอย่างนั้นจริงๆ
จินดารัตน์- ขนาดนั้นเลยหรอคะ
สนธิ- โอ้โฮคุณ จริงๆ แล้วผมหวังว่าทักษิณคงจะเรียนรู้อะไรจากผมได้บ้าง เผื่อเขาจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้บ้าง แต่ผมดูแล้วเขาคงไม่มีความหวัง ที่สำคัญที่สุดคือคนเราต้องรู้ตัวเอง ในหลักธรรม วันแรกที่ผมบวชกับหลวงพ่อญา ท่านสั่งให้ผมไปอยู่กุฎิแล้วไม่ให้ใครมาเจอผม ท่านห้ามพระทุกรูปไม่ให้มาคุยกับผม
จินดารัตน์- เพื่ออะไรคะ
สนธิ- ท่านบอก เพื่อให้อยู่กับตัวเอง จะได้รู้จักตัวเอง มีคนเดียวที่จะคุยกับผมคือท่าน ท่านจะมาหาผม วันแรกยังจำได้เลย บิณฑบาตเสร็จท่านมาถึงท่านนั่ง ท่านสอนวิธีเคี้ยว
จินดารัตน์- เคี้ยวข้าวทำไมต้องสอน
สนธิ- ท่านเคี้ยวให้ ท่านสอนเคี้ยวเพื่อให้มีสติในการเคี้ยว ให้รู้ว่าเคี้ยวกี่คำ ถ้านับถูกว่าเคี้ยวก่อนกลืน 21 คำ แสดงว่ามีสติการเคี้ยว แล้วพอกลืนข้าวเข้าไป ให้เอาจิตจับข้าวไหลจากลำคอลงสู่ท้อง ท่านสอนแบบนี้ แต่หลังจากนั้นแล้วท่านไม่ให้ใครมาพูดเลยนะ ผมบวชอยู่ไม่ได้พูดกับใครเลย อยากจะพูดกับหมาหน้ากุฎิ พูดแล้วมันก็ฟังผมไม่รู้เรื่อง แต่ว่ามันได้ประโยชน์ เวลาคุณอยู่กับตัวคุณเองคุณมีเวลาทบทวนตัวเอง คุณฉายหลังเก่าในชีวิตคุณมาดู พอฉายหนังเก่าแล้ว เออกูนี่เหี้ยจริงๆ สมัยก่อน เหมือนคนปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมถึงจุดๆ หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วเดินจงกรมแล้ว นั่งระลึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ น้ำตาจะไหล เหมือนพระอรหันต์ พระที่มีฌานสมาบัติสูงๆ ที่ระลึกชาติได้ พอระลึกไป 5 ชาติ 10 ชาติแล้วน้ำตาไหลทุกคน แล้วตัดสินใจเลยว่าชาติหน้าไม่ขอเกิดอีกแล้ว นี่คือที่มาของคำว่า เวียนว่ายตายเกิน บางคนเกิดเป็นขุนศึก เป็นแม่ทัพประเทศนึง พอตายก็เกิดเป็นนักรบอีกประเทศนึง เกิดมาตายคือเกิดมาเพื่อฆ่าคนแล้วถูกฆ่า นั่นคือที่มาของคำว่า นิพพาน หลุดพ้นไปเลยไม่ต้องเกิด ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมถึงขั้นที่เรียกว่า อะไรถ้าผมทำผิดผมยอมรับ แล้วผมไม่อับอายที่จะมาพูดต่อหน้าประชาชนพ่อแม่พี่น้อง เพราะทุกวันนี้ผมไม่มีความลับ ผมเคยเป็นอะไรผมบอกหมด ผมไม่ต้องมาซ่อนเร้นทั้งสิ้น
จินดารัตน์- ในช่วงการต่อสู้ เวลาสิ้นเดือนแต่ละครั้งพนักงานใจแทบขาดสงสารเจ้านาย จะหาเงินที่ไหนมาให้เงินเดือนพนักงาน แต่เห็นยิ้มทุกเดือน แต่ในรอยยิ้มไม่กล้าถาม คุณสนธิเจ็บปวดไหม เหนื่อยไหม หรือท้อใจบ้างไหม หรือสักครั้ง รู้อย่างนี้ไม่มาสู้กับมันดีกว่าทักษิณ เคยคิดไหมคะ
สนธิ- ไอ้ที่ยิ้มไม่มีใครรู้ เหมือนกับผมต้องยิ้มอยู่บนเวทีทั้งๆ ที่ผมเจ็บ ผมต้องยิ้มเพราะอะไรรู้ไหม เพราะถ้าผมไม่ยิ้มทุกคนเสียกำลังใจ
จินดารัตน์- เหมือนแม่ทัพ
สนธิ- แม่ทัพบาดเจ็บแล้วแสดงความเจ็บตัวทัพแตกแน่ แต่ว่าเรายิ้มต่อหน้าแอนเราไม่ต้องให้แอนกังวล จำได้ไหมตอนที่เงินเดือนออกช้า เราบอกว่า ตอนนี้เอาไป 25 เปอร์เซ็นต์ก่อนนะ ที่เหลือเงินกำลังมาไม่เกินอาทิตย์ แอนรู้ไหม 25 เปอร์เซ็นต์ที่ได้ไปที่บอกกำลังมาไม่เกินอาทิตย์นี่ผมยังไม่รู้เลยจะมาจากไหน แต่ผมต้องตอแหลไปก่อนเพื่อให้พวกแอนรู้สึกว่าอีกอาทิตย์นึงคงได้ แล้วอีกอาทิตย์ยังไม่มา ผมจะบอกว่าเช็กกว่าจะผ่านอันนู้นอันนี้เพื่อให้รู้ว่ามาแล้วแต่ยังไม่บรรลุ แต่ต้องให้กำลังใจ
จินดารัตน์- ใช้วิธีนี้ก็ดีนะคะพวกหนูจะได้ไม่ต้องรับรู้ความจริง
สนธิ- บางครั้งผมมีหน้าที่ สมัยก่อนผมชอบเล่นรถยนต์ แอนก็เห็น แอนก็รู้ผมขายไปกี่คันแล้ว
จินดารัตน์- แอนเคยถามคุณสนธิแอนจำได้ ขายรถคเยนไป
สนธิ- พอสคเยน ปอร์เช่คเยน
จินดารัตน์- ถามคุณสนธิไม่เสียดายหรอคะ คุณสนธิพูดว่า แอนจำไว้นะ รถมันคือทรัพย์สินนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้อย่าไปเสียดายมัน แอนฟังแล้วก็อึ้ง เรารู้สึกเลยว่าโตโยต้าเก่าๆ ของเรามีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลยพี่น้อง
สนธิ- ผมได้บทเรียนเรื่องนี้ คำพูดที่แอนพูด จากหลวงพ่อญา ตอนที่ผมล้มละลายผมเรียนท่าน ท่านบอก ดีแล้วพ้นทุกข์ พ้นโศก พ้นภัย ผมบอกอ้าวทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ท่านบอก เสียอะไรเสียไปรักษาใจให้ดี เสียอะไรเสียไปอย่าเสียไป ท่านบอกว่า ที่มีเงินมีทอง มีเสื้อผ้า มีอยู่ 300,000 กว่าล้านของคุณทักษิณ มีรถคเยน มันเป็นของนอกกายใครๆ ก็เอาไปได้ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครเอาไปได้เลยคือ จิตใจเรา เพราะฉะนั้นท่านบอก ทรัพย์สินที่แท้จริงของพวกเรา ของมนุษย์มันอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นรักษาใจได้ ไม่เสียใจ เข้มแข็ง นี่คือทรัพย์สินที่มหาศาล ไม่มีใครเอาของเราไปได้เลย ถ้าเรารักษาใจไว้ได้โดยไม่เสียใจ เราจะไม่มีวันจน นี่จะถึงเวลาเคาท์ดาวน์แล้วมั้ง
จินดารัตน์- เกือบแล้วค่ะ ขอเป็นคำถามสุดท้ายแล้วกันนะคะ พี่น้องเราจะอยู่เคาท์ดาวน์ร่วมกันนะคะ ถือว่าเราก้าวข้ามปีที่สุดแสนจะทรหดอดทนไปด้วยกัน คำถามสุดท้าย แอนขออนุญาตถามคุณสนธิ ในชีวิตนี้เคยคิดอยากทำอะไรแล้วยังไม่ได้ทำก่อนที่ตัวเองจะตายไปมีไหมคะ
สนธิ- ไม่มี เพราะว่าต้องยอมรับว่าใจผมสงบมากช่วงหลัง ผมกลายเป็นคนที่ถึงจุดๆ หนึ่งผมจะบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
จินดารัตน์- เราทุกข์เพราะเราคาดหวัง
สนธิ- ถูกต้อง ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เพราะมันเป็นเรื่องสมมุติ ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ ทุกอย่างสมมุติหมดเลย ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นไม่ติดใจ เพราะเป็นเรื่องสมมุติ เหมือนเราอยู่เฉยๆ ลมพัดโดนตัวเรามันเย็นใช่ไหม เราไปยึดติดความเย็น แต่พอลมหายไปแล้วมันไม่เย็นแล้วนี่ มันสมมุติไง เท่านั้น เพราะฉะนั้นผมเลยไม่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้อยากทำอันนี้ก่อนตาย สำหรับผมไม่มีความหมาย จิตให้นิ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น พอใจแล้วแค่นั้น ขออย่างเดียว เวลาทำตั้งใจทำเต็มใจทำและสบายใจที่ได้ทำ ทำให้ดีที่สุด แล้วพยายาม ผมพูดหลายครั้งทุกคนคงจำได้ อย่าพูดคำว่า แหมถ้ากูรู้อย่างนี้
จินดารัตน์- มีบางคนบอกว่า คุณสนธิสู้มาเยอะนะ หมดเนื้อหมดตัวแทบไม่เหลืออะไรแล้ว
สนธิ- เหลือเยอะเลย
จินดารัตน์- เหลืออะไรคะ
สนธิ- พี่น้องทั้งประเทศ ยิ่งกว่าเงินทอง เงินทองไม่มีความหมาย พี่น้องทั้งประเทศมีความหมายมากกว่า
จินดารัตน์- 193 วันต่างจากเมื่อปี 48 49
สนธิ- มหาศาล มหาศาลเพราะพี่น้องทั้งประเทศตื่นแล้ว แล้วเห็นพ้องต้องกัน
จินดารัตน์- นอนตายตาหลับแล้วคุณสนธิ
สนธิ- นอนตายตาหลับแล้ว อันนี้เรื่องจริง พรุ่งนี้ตายก็หลับแน่นอน
จินดารัตน์- จริงยังมีคำถามอีกเยอะที่ส่งเข้ามาจากทางบ้านด้วย แต่ว่าจะข้ามปีเก่าไปปีใหม่เดี๋ยวเราจะไม่ได้เคาท์ดาวน์กัน เหลือเวลาอีกสัก 1-2 นาที แอนขออนุญาตอ่านหมายเลขที่จับสลากกันได้ รูปนะคะ มีแค่ 36 รูป พร้อมลายเซ็นคุณสนธิ 014,037,017,104,083,029,045, 93, 029,177,122,125,082,137,004,057,27,072,087,025,152,042,130,033,002,008,142,041,038,032,119,112,143,096,015 และ 095 ค่ะ
สนธิ- นาฬิกาตรงหรือเปล่า
จินดารัตน์- อันนี้ไม่ตรงค่ะคุณสนธิ ของแอนตรง จะหมดแล้วคะ อีก 2 นาทีหรอคะ ข้างในบอกอีก 2 นาที ที่ไม่ได้รูปได้ปฏิทินกับผ้าพันคอ เดี๋ยวไปรับด้านหน้า
สนธิ- ผ้าพันคอมีลายเซ็นด้วย
จินดารัตน์- ผ้าพันคอมีลายเซ็นคุณสนธิด้วย เอาเป็นว่าท้ายที่สุดนี้พี่น้องขา เราจะยังอยู่ด้วยกันใช่ไหมคะ ยืนยันด้วยเสียงหน่อยซิคะ แอนรู้ว่าการเป็นคนของประชาชน เป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องลำบากนะคะไม่สบาย คุณสนธิไม่เคยไปเดินห้าง ไม่เคยเดินมานานแล้ว เพราะไม่รู้จะไปยังไง เรียกว่าความเป็นส่วนตัวมันหายออกไปจากชีวิตเลย ไปกินข้าวที่ไหนต้องจ่ายแพงกว่าชาวบ้านเพราะคำนวณราคาไม่ถูก อย่างที่บอกช่วยกรุณาเก็บตังค์ด้วย คุณสนธิคะวันนี้ถามจริงๆ ว่า มีบางช่วงเวลาขออยู่ส่วนตัวได้ไหม
สนธิ- มีครับ มีบ่อยแต่ว่าเห็นใจพ่อแม่พี่น้อง เหมือนอย่างบางครั้ง วันที่ไปที่เมืองทอง จำเป็นต้องนั่งให้พี่น้องมาถ่ายรูปอย่างเต็มที่ เพราะเห็นใจเขา หลายๆ คนไม่เคยมาแล้วอยากจะถ่ายรูปด้วย แสดงอาการไม่พอใจหรือเหนื่อยเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ ต้องยิ้มตลอดเวลา เพราะเข้าใจและเห็นใจเขา และที่สำคัญคือซาบซึ้งที่เขาศรัทธาเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราซาบซึ้งที่เขาศรัทธาในตัวเรา เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เรายิ้มไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย
จินดารัตน์- พี่น้องขามานับถอยหลังร่วมกันนะคะ 5 4 3 2 1 สวัสดีใหม่นะคะ สวัสดีปีใหม่ทุกๆ ท่านเลยค่ะ ให้คุณสนธิสวัสดีปีใหม่พ่อแม่พี่น้องทางบ้านด้วยค่ะ
สนธิ- 2552 ขอให้เป็นปีที่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็ท่านผู้ชมทั้งหลายถึงจะไม่เป็นพันธมิตรฯ จงมีแต่ธรรมอยู่ในใจ แล้วก็มีความรักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ นะครับ ขอให้ปี 2552 เป็นปีที่ชาติไทยอยู่รอดปลอดภัย และขอให้ชาติไทยมีแต่ความมั่นคง ศาสนามีแต่ความจริงสัจจธรรมที่อยู่ในศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้มีแต่ความมั่นคงตลอดไป ที่สำคัญที่สุด ขอให้พ่อแม่พี่น้องทุกคนจงมีความสุข มีพลานามัยที่แข็งแรง และมีความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ขอบพระคุณมากครับ
จินดารัตน์- ขอบพระคุณนะคะวันนี้ลาไปก่อนคะ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ