นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะปรับใหญ่คณะรัฐมนตรี ว่า ทั้งนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคพลังประชาชนบอกมาตลอดว่า ไม่มีเรื่องโควต้า แต่รู้สึกแปลกใจว่าในวันที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่า ไม่มีอำนาจในการจัดสรร จึงได้คณะรัฐมนตรีขี้เหร่
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีควรจะลาออกทั้งคณะ แล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าน่าจะเกิดความสง่างามมากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่คณะรัฐมนตรีชุดนี้กระทำผิดรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ทั้งนี้เห็นว่าแม้ลาออกแล้ว ตั้งรัฐบาลใหม่ก็จะยังเป็นชุดเดิม และพรรคไม่คิดว่าจะมีใครปันใจแยกตัวมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.กรณีถือครองหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐนั้น นายเทพไท กล่าวว่า เป็นการดำเนินการเพื่อต้องการสร้างสถานการณ์กวนน้ำให้ขุ่นมากกว่าที่จะหวังผลการถอดถอนจริง ซึ่งเท่าที่ดูส่วนใหญ่หุ้นที่ถือครองเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คิดว่าไม่น่าเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 265 (2) ที่จะเป็นความผิดได้
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ในวันนี้ได้มีกระแสต่อต้านจากประชาชนกรณีที่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง ซึ่งรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนควรรับฟัง และไม่ควรอ้างข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ โดยไม่เอาผลสรุปการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร มาใช้
ส่วนกรณีที่โฆษกพรรคพลังประชาชนพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ถึงการปรับจำนวนกรรมการบริหารพรรคจาก 49 คน เหลือ 19 คน เพราะปัญหาของรัฐธรรมนูญ นายเทพไท กล่าวว่า เมื่อมีบทบัญญัติใหม่ๆ พรรคจำเป็นต้องปรับโครงสร้างของพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่เห็นว่าดีกว่าการไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีควรจะลาออกทั้งคณะ แล้วจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าน่าจะเกิดความสง่างามมากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่คณะรัฐมนตรีชุดนี้กระทำผิดรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ทั้งนี้เห็นว่าแม้ลาออกแล้ว ตั้งรัฐบาลใหม่ก็จะยังเป็นชุดเดิม และพรรคไม่คิดว่าจะมีใครปันใจแยกตัวมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.กรณีถือครองหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐนั้น นายเทพไท กล่าวว่า เป็นการดำเนินการเพื่อต้องการสร้างสถานการณ์กวนน้ำให้ขุ่นมากกว่าที่จะหวังผลการถอดถอนจริง ซึ่งเท่าที่ดูส่วนใหญ่หุ้นที่ถือครองเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คิดว่าไม่น่าเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 265 (2) ที่จะเป็นความผิดได้
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ในวันนี้ได้มีกระแสต่อต้านจากประชาชนกรณีที่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง ซึ่งรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนควรรับฟัง และไม่ควรอ้างข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ โดยไม่เอาผลสรุปการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร มาใช้
ส่วนกรณีที่โฆษกพรรคพลังประชาชนพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ถึงการปรับจำนวนกรรมการบริหารพรรคจาก 49 คน เหลือ 19 คน เพราะปัญหาของรัฐธรรมนูญ นายเทพไท กล่าวว่า เมื่อมีบทบัญญัติใหม่ๆ พรรคจำเป็นต้องปรับโครงสร้างของพรรคให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่เห็นว่าดีกว่าการไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด