ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐฯ ได้กล่าวยกย่องกฎหมายดักฟังโทรศัพท์ระหว่างการลงนามขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเมื่อวันพฤหัสบดี (10) ว่า กฎหมายดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมากต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่จะช่วยให้หน่วยข่าวกรองสามารถจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายนอกประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ยังเป็นกฎหมายที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเวลาเดียวกัน
“เกือบ 7 ปีมาแล้วที่ชาวอเมริกันทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กกว่า 3,000 คนต้องจบชีวิตลงเมื่อเช้าวันที่ 11 กันยายน การโจมตีในครั้งนั้นเปลี่ยนประเทศของเราไปตลอดกาล และทำให้เราตระหนักว่าอเมริกาต้องทำสงครามกับศัตรูที่ไร้ความปรานีและคงทนถาวรต่อไป” ประธานาธิบดีบุชกล่าว
บุช กล่าวด้วยว่า “ประเทศของเราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญมากที่สุดจากเหตุการณ์ 11 กันยายนซึ่งก็คือ การขาดเครื่องมือที่จำเป็นในการจับตาการติดต่อสื่อสารของกลุ่มก่อการร้ายนอกประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่หน่วยข่าวกรองจะต้องรู้ว่ากลุ่มก่อการร้ายกำลังสื่อสารอยู่กับใคร และกำลังวางแผนอะไรอยู่”
นอกจากนี้กฎหมายดักฟังโทรศัพท์ยังคลอบคลุมถึงการให้สิทธิย้อนหลังกับบริษัทสื่อสารซึ่งให้ความช่วยเหลือรัฐบาลในปฏิบัติการเฝ้าระวังที่ไม่ได้รับอนุญาต หลังเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้สภาคองเกรสได้มีการถกเถียงกฎหมายดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทำได้ยากมากขึ้น ก่อนที่วุฒิสภาสหรัฐฯ จะมีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 69 ต่อ 28 เมื่อวันพุธ (9)
“เกือบ 7 ปีมาแล้วที่ชาวอเมริกันทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กกว่า 3,000 คนต้องจบชีวิตลงเมื่อเช้าวันที่ 11 กันยายน การโจมตีในครั้งนั้นเปลี่ยนประเทศของเราไปตลอดกาล และทำให้เราตระหนักว่าอเมริกาต้องทำสงครามกับศัตรูที่ไร้ความปรานีและคงทนถาวรต่อไป” ประธานาธิบดีบุชกล่าว
บุช กล่าวด้วยว่า “ประเทศของเราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญมากที่สุดจากเหตุการณ์ 11 กันยายนซึ่งก็คือ การขาดเครื่องมือที่จำเป็นในการจับตาการติดต่อสื่อสารของกลุ่มก่อการร้ายนอกประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่หน่วยข่าวกรองจะต้องรู้ว่ากลุ่มก่อการร้ายกำลังสื่อสารอยู่กับใคร และกำลังวางแผนอะไรอยู่”
นอกจากนี้กฎหมายดักฟังโทรศัพท์ยังคลอบคลุมถึงการให้สิทธิย้อนหลังกับบริษัทสื่อสารซึ่งให้ความช่วยเหลือรัฐบาลในปฏิบัติการเฝ้าระวังที่ไม่ได้รับอนุญาต หลังเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้สภาคองเกรสได้มีการถกเถียงกฎหมายดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทำได้ยากมากขึ้น ก่อนที่วุฒิสภาสหรัฐฯ จะมีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 69 ต่อ 28 เมื่อวันพุธ (9)