พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ยอมรับว่า การถือแผนที่คนละฉบับของฝ่ายไทยและกัมพูชา ทำให้เกิดการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งการที่รัฐบาลรีบเร่งดำเนินการสนับสนุนกัมพูชาเพื่อให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นเรื่องที่อาจก่อให้เกิดผลร้ายตามมาในอนาคต จึงควรให้มีการปักปันแนวเขตแดนให้ชัดเจนระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายก่อน และเห็นว่าตราบใดที่ยังไม่มีการปักปันแนวเขตแดนที่ชัดเจน รัฐบาลไม่ควรรีบเร่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ที่อาจนำไปสู่การเสียดินแดน
ด้าน พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร กล่าวก่อนหน้านี้ว่า หากมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตัวปราสาทพระวิหาร โดยที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน เชื่อว่าจะเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ในการเจรจาพูดคุยระหว่าง 2 ฝ่าย เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชาไม่เคยยอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อนตามที่ไทยอ้างสิทธิ์ ตลอดจนที่ฝ่ายไทยถือแนวเขต L7017 จึงเชื่อว่า จะเกิดปัญหาตามมา เพราะฉะนั้นการปักปันเขตแดนให้ชัดเจนนั้นควรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
นอกจากนั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังแสดงความห่วงใยต่อปัญหาที่มีชาวกัมพูชาร่วม 600 คน เข้ามาสร้างอาคาร บ้านเรือน ร้านค้า รวมถึงสร้างวัดในพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกของตัวปราสาท ที่อยู่ในเขตแดนของไทย ว่า เป็นเรื่องที่กองทัพต้องเร่งดำเนินจัดการ หากปล่อยไว้นานจะเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 ที่ระบุว่า ให้พื้นที่อยู่ในเขตของประเทศไทย
สำหรับกรณีที่รัฐบาลไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของกัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา รวมถึงการไม่ให้มีการทำประชาพิจารณ์สอบถามความเห็นประชาชนทั่วประเทศ ว่า เห็นยังไงกับเรื่องนี้ พล.อ.ปฐมพงษ์ บอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ว่าใครจะไปลักลอบกระทำ แต่ต้องพูดออกมา เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของแผ่นดิน ที่กำลังจะเกิดปัญหาในอนาคต และในฐานะทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมควรได้แสดงจุดยืนในการรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน ที่บรรพบุรุษได้หลั่งเลือดลงดิน เพื่อรักษาแผ่นดินนี้ไว้
ด้าน พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร กล่าวก่อนหน้านี้ว่า หากมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกตัวปราสาทพระวิหาร โดยที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน เชื่อว่าจะเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ในการเจรจาพูดคุยระหว่าง 2 ฝ่าย เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชาไม่เคยยอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อนตามที่ไทยอ้างสิทธิ์ ตลอดจนที่ฝ่ายไทยถือแนวเขต L7017 จึงเชื่อว่า จะเกิดปัญหาตามมา เพราะฉะนั้นการปักปันเขตแดนให้ชัดเจนนั้นควรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
นอกจากนั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังแสดงความห่วงใยต่อปัญหาที่มีชาวกัมพูชาร่วม 600 คน เข้ามาสร้างอาคาร บ้านเรือน ร้านค้า รวมถึงสร้างวัดในพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกของตัวปราสาท ที่อยู่ในเขตแดนของไทย ว่า เป็นเรื่องที่กองทัพต้องเร่งดำเนินจัดการ หากปล่อยไว้นานจะเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 ที่ระบุว่า ให้พื้นที่อยู่ในเขตของประเทศไทย
สำหรับกรณีที่รัฐบาลไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของกัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา รวมถึงการไม่ให้มีการทำประชาพิจารณ์สอบถามความเห็นประชาชนทั่วประเทศ ว่า เห็นยังไงกับเรื่องนี้ พล.อ.ปฐมพงษ์ บอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ว่าใครจะไปลักลอบกระทำ แต่ต้องพูดออกมา เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของแผ่นดิน ที่กำลังจะเกิดปัญหาในอนาคต และในฐานะทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมควรได้แสดงจุดยืนในการรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน ที่บรรพบุรุษได้หลั่งเลือดลงดิน เพื่อรักษาแผ่นดินนี้ไว้
