นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมทีมทนายความได้เดินทางมาห้องพิจารณาคดีที่ 2 และได้นำหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร วีซีดีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ พร้อมคำถอดความ และแผนที่ที่เกี่ยวข้องให้ศาลปกครองกลางพิจารณา
ขณะที่ นายนพดล มอบหมายให้นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ นำเอกสารเข้ามายื่นด้วยเช่นกัน
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ผู้ร้องที่ 1 ได้ให้ปากคำกับศาลเป็นคนแรก ชี้แจงถึงผลกระทบข้อเสียหายและการเสียดินแดน หากมีการนำแถลงการณ์ที่รัฐบาลไทยกับกัมพูชาทำร่วมกันไปเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งนายสุวัฒน์ ได้นำเอกสารที่เป็นข่าวกับข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารจำนวน 21 รายการ และได้ชี้แจงเกี่ยวกับแผนที่ ที่อ้างในแถลงการณ์ร่วม ซึ่งศาลก็ได้เรียกอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ มาร่วมฟังและดูการชี้แจงต่อหน้าศาลได้
สำหรับคำฟ้องผู้ร้องทั้ง 9 คน ได้มีการระบุว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยและกัมพูชา กรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมแผนที่แนบท้าย ซึ่งเสนอและจัดทำขึ้น โดยรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในคำแถลงการณ์ดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ในข้อสงวนของไทย และเป็นการยอมรับในแผนที่ ที่กำหนดแนวเขตที่จัดทำขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของกัมพูชา ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับไทย จึงขอให้ศาลปกครองเพิกถอนการกระทำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่เสนอร่างคำแถลงการณ์ร่วมต่อคณะรัฐมนตรี และเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี ที่เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วม และเพิกถอนการลงนามคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนบริเวณด้านหน้าของห้องพิจารณาคดี ก็มีอาสาสมัครพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนที่มาสนใจมาเฝ้ารอและเข้าฟังการไต่สวนครั้งนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้ศาลยังคงไต่สวนผู้ร้องทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมพิจารณาหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำมายื่น
ขณะที่ นายนพดล มอบหมายให้นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ นำเอกสารเข้ามายื่นด้วยเช่นกัน
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ผู้ร้องที่ 1 ได้ให้ปากคำกับศาลเป็นคนแรก ชี้แจงถึงผลกระทบข้อเสียหายและการเสียดินแดน หากมีการนำแถลงการณ์ที่รัฐบาลไทยกับกัมพูชาทำร่วมกันไปเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งนายสุวัฒน์ ได้นำเอกสารที่เป็นข่าวกับข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารจำนวน 21 รายการ และได้ชี้แจงเกี่ยวกับแผนที่ ที่อ้างในแถลงการณ์ร่วม ซึ่งศาลก็ได้เรียกอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ มาร่วมฟังและดูการชี้แจงต่อหน้าศาลได้
สำหรับคำฟ้องผู้ร้องทั้ง 9 คน ได้มีการระบุว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยและกัมพูชา กรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมแผนที่แนบท้าย ซึ่งเสนอและจัดทำขึ้น โดยรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในคำแถลงการณ์ดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ในข้อสงวนของไทย และเป็นการยอมรับในแผนที่ ที่กำหนดแนวเขตที่จัดทำขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของกัมพูชา ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับไทย จึงขอให้ศาลปกครองเพิกถอนการกระทำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่เสนอร่างคำแถลงการณ์ร่วมต่อคณะรัฐมนตรี และเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี ที่เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วม และเพิกถอนการลงนามคำแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนบริเวณด้านหน้าของห้องพิจารณาคดี ก็มีอาสาสมัครพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนที่มาสนใจมาเฝ้ารอและเข้าฟังการไต่สวนครั้งนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้ศาลยังคงไต่สวนผู้ร้องทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมพิจารณาหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำมายื่น