พ่อแม่พี่น้องครับ ผมเคยสงสัยว่าประเทศไทยนั้นทำไมชีวิตเราถึงลำบากยากเย็นขณะนี้ ผมก็มองไปรอบๆ ตัว แล้วผมก็ถามตัวผมเองว่า เมืองไทยมันก็ยังสุขสมบูรณ์อยู่นะ ทำไมประชาชนมันลำบากยากจนข้นแค้นเหลือเกิน คนจนก็ไม่มีจะกิน คนชนชั้นกลางก็จะกลายเป็นคนจน มีแต่คนรวยที่รวยขึ้นอยู่ทุกวันๆ สมัยผมหนุ่มๆ ผมจำได้ว่าจะซื้อรถสักคัน ก็สะสมเงินแล้วก็ต้องเอาไปดาวน์ 30 เปอร์เซ็นต์ เขาเรียกขั้นต่ำ 30 เปอร์เซ็นต์ เวลาผ่อนเขาก็ให้ผ่อนแค่ 3 ปี 36 เ ดือน แปลว่าอะไร แปลว่าสมัยผมเป็นหนุ่มๆ นั้นสังคมไทยสั่งสอนว่า ถ้ายังไม่พร้อมอย่าไปใช้เงินเกินตัว จะซื้อบ้านสัก 1 หลัง ต้องดาวน์ 20 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์ ผ่อนส่งได้ไม่เกิน 15 ปีสูงสุด มาวันนี้ลูกหลานเราซื้อรถดาวน์ 5 เปอร์เซ็นต์ ดาวน์ 10 เปอร์เซ็นต์ ผ่อน 5 ปี 6 ปี เดี๋ยวนี้เขาต้องการกระตุ้นให้คนเป็นหนี้มากขึ้น เขาก็บอก ซื้อรถไม่ต้องดาวน์ จะผ่อนกี่ปีมาคุยกัน 7 ปีก็ได้ ผมแทบไม่เชื่อสายตา มีอยู่เจ้าหนึ่ง ผมขับรถไปสุพรรณบุรี เขาติดป้ายว่าไม่ต้องดาวน์ ผ่อนรถใหม่ได้ 8 ปี พี่น้องรถยนต์ 8 ปี ผ่อนได้ 6 ปีก็เป็นซากเรียบร้อยแล้วเพราะมันขับต่างจังหวัดบ่อย อีก 2 ปีจะไปทำอะไรกับมัน บ้านเดี๋ยวนี้ยืดจาก 15 ปีเป็น 20 ปี เป็น 25 ปี เป็น 30 ปี ตรงนี้มันแปลว่าอะไร ตรงนี้มันแปลว่า ความเป็นอยู่ปัจจัย 4 ความจำเป็นที่มีความสำคัญต่อชีวิต มันถูกเพิ่มราคาเข้าไป แล้วมันทำให้เราต้องไปแบกรับภาระมัน ระยะยาวยาวจนเกินกว่าที่เราจะมีสิทธิ์ที่จะเกษียณอายุ หรือมีความสุขกับการเป็นอยู่อย่างพอเพียง พ่อแม่พี่น้องดูเด็กที่จบใหม่สมัยนี้ เรียนปริญญาตรีเรียนไป 4 ปี จบมหาวิทยาลัยเอกชน พ่อแม่ส่งเงินไปใช้เงิน 1 ล้านบาท 4 ปี จบมาก็แค่ 8,000 - 9,000 บาท เอาละ สมมติว่าคนคนนี้เป็นคนซึ่งพ่อแม่ไม่มีฐานะอะไร เป็นลูกคนชนชั้นกลางอยู่ต่างจังหวัด เรียนจบมาทำงานกรุงเทพฯ เงินเดือน 9,000 บาท ต้องไปเช่าห้องๆนึง ห้องเล็กๆ 3,000 บาท บวกค่าน้ำค่าไฟอีกพันกว่าบาท เป็น 4,000 บวกเบ็ดเสร็จก็ 5,000 ตัวเองเหลือเงินอยู่ 4,000 บาท เดือนนึงค่ารถก็เข้าไปละประมาณ 1,500 บาท อย่างต่ำ 50 บาทต่อวัน ไป-กลับ พ่อแม่พี่น้องรู้ว่าเวลาไปทำงานนั้น ต่อรถสองสามต่อก้หมดไปแล้ว 50 บาท ก็เหลืออยู่แค่ 1,500 -2,000 บาท กินข้าววันละมือวันละสองมื้อมื้อละประมาณ 20-30 สมัยก่อนก็ปริ่มๆ จมูกไม่ต้องไปเที่ยวไหน ไม่ต้องซื้ออะไร สมัยนี้ของมันแพงขึ้น ข้าวแกง 20 บาท 25 บาท มันไม่มีเหลือ มันมีแต่ 30 บาท 35 บาท เคยใช้เงินประมาณ 100 บาท เพื่อกินข้าววันนึง เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มเป็น 130 บาท 120 บาท ผมก็ถามง่ายๆ ว่า แล้วมันจะอยู่อย่างไรข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ถึงแม้ว่าจะอยู่ได้ ไอ้ลูกหลายเราชีวิตนี้มันมีโอกาสจะมีบ้านมีช่องมันอยู่ไหม เงินเดือนมัน 9,000 บาท ให้มันทำงาน 5 ปี เงินเดือนมันก็จะตกขึ้น ถ้ามันโชคดีก็อาจจะได้ประมาณ 20,000 บาท ถ้ามันโชคดีนะ ทั่วๆ ไป 9,000 บาท 5 ปี มันก็จะได้ประมาณ 12,000 13,000 หรือ 15,000 อย่างสูงนะ มันทำไป 5 ปี มันจบปริญญาตรี 23 มันทำไป 5 ปี มัน 28 เอาให้อีก 3 ปี อีก 2 ปีมัน 30 ตีซะเงินเดือนมันประมาณ 18,000 -20,000 บาท อายุมัน 30 สมมุติว่า มันมีเงินสักเล็กน้อย พ่อให้เงินบ้างมันเอาไปดาวน์บ้าน มันต้องผ่อนบ้านอีก 30 ปี เมื่ออายุมัน 60 มันยังต้องผ่อนบ้านอยู่เลยพ่อแม่พี่น้อง นี่คือความผิดปกติทางเศรษฐกิจในสังคมไทย ปรากฏว่าในตลาดหลักทรัพย์มีแต่คนบอกว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์กำไรเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ก็มันไม่กำไรเพิ่มขึ้นได้ยังไงพี่น้อง มันให้พี่น้องผ่อนรถ 8 ปี มันให้พี่น้องผ่อนบ้าน 30 ปี เข้าใจหรือยัง ยืดเวลาผ่อนไปเรื่อยๆ เงินเดือน 10,000 - 15,000 บาท ก็มีบัตรเครดิตแล้ว พอใช้บัตรใบแรกเต็มก็ไปเอาใบที่ 2 มาใช้ ใช้ใบที่ 2 เต็ม เอาใบที่ 3 มาจ่ายใบแรก เอาใบแรกมาจ่ายใบที่ 2 เขาเรียกว่าหนี้มันพันตัวไปหมด ลูกหลานเราจะอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร มันไม่ได้
สมัยก่อนเราเจริญเติบโตมา ผมเจริญเติบโตมาก็เพราะว่าแม่รู้จักออม รู้จักเก็บ แม่เปิดร้านขายกาแฟ ขายของโชห่วยในร้าน ส่งลูก 5 คนเรียนหนังสือจนจบ ส่งผมเรียนจนจบอัสสัมชัญศรีราชา แล้วเขาให้ตั๋วเครื่องบินผมใบเดียว ไปเรียนต่อที่อเมริกา ไปทำงาน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ส่งน้องสาวเรียนจนจบจุฬาฯ ทั้งปริญญาตรีปริญญาโท ส่งน้องชายจนจบเอแบค ส่งน้องสาวอีกคนจนจบเกษตร ส่งน้องสาวอีกคนจนจบธรรมศาสตร์ ขายแค่กาแฟอย่างเดียว แล้วก็ขายสบู่กรด ขายสบู่นกแก้ว ขายสบู่ลักซ์ ขายน้ำปลา ขายข้าวสาร ทำไมสมัยก่อนเขาเลี้ยงลูกได้ตั้ง 5 คนจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีหมด ปริญญาโท มันต้องมีอะไรผิดปกติกับสังคมไทยอันนี้ วันนี้เรามานั่งกันอยู่ที่นี่เราไม่ใช่มานั่งเพียงเพราะว่าเราต้องการจะโค่นระบอบทักษิณอย่างเดียว อย่าลืมนะ เราต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วย ไม่ใช่ไล่ระบอบทักษิณไประบอบอะไรมาก็โอเค ไม่ใช่ เราต้องทำประเทศนี้ ที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับคนทุกๆ ชนชั้น ให้คนจนอยู่ได้ ให้ชนชั้นกลางอยู่ได้ ให้พ่อค้าแม่ค้าอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้วมีสิทธิ์เจริญเติบโตต่อไปได้
พี่น้องเวลาเขาพูดถึงขนส่งมวลชน เฉพาะกรุงเทพมหานคร ผมยกตัวอย่างให้ฟัง เขาพูดถึงรถไฟใต้ดิน เขาบอกจะมี 8 สาย 9 สาย 10 สาย เขาบอกอีกหน่อยรับรองว่า ทุกๆ สาย ทุกคนจะคล่องตัวหมด ผมเคยนั่งคำนวณง่าย คนๆ หนึ่งอยู่แถวพระโขนงแล้วจะมาทำงานแถวๆ บางลำพู ถ้ามันนั่งรถใต้ดินมันต้องต่อรถใต้ดิน 3 เที่ยว เที่ยวนึงมันต้องจ่าย 20 บาท 3 ขบวนต้องจ่าย 60 บาท ไป-กลับมัน 120 เดือนนึง 3,600 แล้ว บวกจุกจิกไป 4,000 เฉพาะค่าเดินทาง แล้วถ้ามันต้องเช่าห้องอย่างที่ผมบอก บวกค่าน้ำค่าไฟอีก 4,000 - 5,000 ไอ้เด็กจบปริญญาตรีแล้วมันเอาอะไรกินกัน มันถึงต้องสอนให้รู้จักโกงคนมันถึงจะอยู่รอดได้ มันต้องสอนคนให้รู้จักทำชั่วมันถึงจะอยู่ได้ไง ปรากฏว่าใครรวยละ ไอ้บริษัทที่ได้สัมปทานรวย มันรวยบนพื้นฐานใคร บนพื้นฐานที่มันต้องให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานเราทั้งหลายจะต้องจ่ายเงินค่าขนส่งแพง ในต่างประเทศขนส่งสาธารณะรถไฟใต้ดิน รัฐบาลจะต้องเอาเงินไปชดเชย เขาคิดค่าโดยสารถูก ผมมีรถยนต์ พ่อแม่พี่น้องหลายคนก็มีรถยนต์ แต่ถ้าคนมีรถยนต์ก็ต้องพร้อมที่จะเสียสละ ก็ต้องมีค่าภาษีถนน ค่าภาษีถนนก็อาจจะคิด 1% ของราคารถยนต์ ใครจะซื้อวีออสคันหนึ่ง 6 แสนบาท นอกจากภาษีทะเบียนป้ายแล้ว ยังต้องเสียภาษีอีก 1% ของ 6 แสนบาท ในปีแรกที่ซื้อ นั่นก็คือ 6,000 บาท ต้องเสีย ก็อยากมีรถก็ต้องเสียสิ
รถยนต์ในกรุงเทพฯ มีอยู่ 5-6 ล้านคัน มีหนึ่งก็มีอยู่ 40,000 ล้านบาท ที่ได้จากภาษีถนน 40,000 ล้านบาท 10 ปีก็คือ 400,000 ล้านบาท ไอ้รัฐบาลมันก็สามารถที่จะออกพันธบัตรกู้ยืมระยะยาวได้ 10-20 ปี 400,000 ล้านบาท 800,000 ล้านบาท มันก็เอาเงินก้อนนี้มาสร้างรถขนส่งมวลชนใต้ดินทั่วประเทศไทย หรือทั่วกรุงเทพฯ แล้วมันก็สามารถจะคิดราคาได้ 10 บาท วิ่งตลอดสาย จะกี่ขบวนก็ได้ นี่คือวิธีการที่ถูกต้องพ่อแม่พี่น้อง คนใช้มากต้องเสียมาก คนใช้น้อยเสียน้อย
ถนน 85% ใช้โดยคนจำนวน 15% เท่านั้นเอง นั่นคือรถยนต์ คน 85% คนส่วนใหญ่ ใช้ถนนเพียง 15% คือนั่งรถขนส่งมชน เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ทำไมไม่ทำกัน ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ถ้ามันทำกันแล้ว ประชาชนก็ไม่เดือดร้อน คนมีรถยนต์ก็จำเป็นที่จะต้องจ่าย อาจจะด่าบ้าง บ่นบ้าง แต่ถ้าขนส่งมวลชนมี จะนั่งจากตลาดพลูไปที่บางรัก ก็สามารถจะต่อรถไฟฟ้าใต้ดินได้ 2-3 ขบวน แล้วก็ 10 บาทตลอดสายทั้ง 3 ขบวน ผมถามว่าพ่อแม่พี่น้องอยากจะมีรถยนต์ไหม เอ้าพ่อแม่พี่น้องอาจจะอยากจะมีก็เก็บเอาไว้ที่บ้าน วันเสาร์-อาทิตย์ก็ออกเดินทางไปต่างจังหวัด พาลูกพาหลานไปเที่ยว
พี่น้องรู้หรือเปล่าทำไมในประเทศยุโรปน้ำมันมันแพงกว่าเราเยอะเลย แต่ทำไมเขาไม่บ่นกัน เพราะน้ำมันแพงเขาไม่ใช้รถยนต์ เขาจอดรถไว้ที่บ้าน ทั้งรถไฟรถใต้ดินเขาไปถึงโน่นหมดเลยทุกจุด แล้วเงินเดือนเขาก็เป็นเงินเดือนระดับสูง แต่ของเรานอกจากน้ำมันจะแพงใกล้เคียงแล้ว ระบบขนส่งมวลชนยังมาโขกพวกเราอีก เห็นไหมนี่ผมพูดง่ายๆ เรื่องธรรมดาแต่ทำไมเขาไม่ทำ ที่เขาไม่ทำเพราะว่าเขามีผลประโยชน์บริษัทขายรถยนต์ เขามีผลประโยชน์กับบริษัทที่ทำอะไหล่รถยนต์ ทำไมเขาไม่ทำรถไฟรางคู่ เพราะว่าบริษัทรถยนต์บริษัทขนส่งต่างๆ ที่ขนส่งสินค้าต่างๆ สมาคมรถบรรทุกคัดค้านเอาเงินให้นักการเมือง คนที่แบกภาระก็คือพวกเราทั้งนั้นเลย อันนี้เป็นสิทธิที่พวกเรามี และพวกเราต้องใช้ให้เป็น มีคนถามผมว่า น้ำมันขึ้นมา 50 เหรียญ 50 บาทต่อลิตรจะอยู่ได้อย่างไร ผมบอกปัญหาไม่ใช่น้ำมันมันขึ้นเท่าไหร่ ปัญหาคือเราไม่เคยถามตัวเราเอง รัฐบาลไม่เคยถามตัวรัฐบาลเองว่า ทุกๆ ครั้งที่น้ำมันขึ้น เราเคยคิดบ้างไหมที่จะใช้น้ำมันให้น้อยลง เราไม่เคยคิดนะพี่น้อง ลองไปคิดดูให้ดีๆ วันนี้เราต้องมารื้อฟื้นภูมิปัญญาของเรา และต้องมาคิดให้มันมีเหตุมีผล ว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับชีวิตเรา ผมยกตัวอย่างให้พ่อแม่พี่น้องในกรุงเทพฯแล้วกัน ง่ายๆ ผมอยากให้วันอาทิตย์เป็นวันที่ปลอดรถยนต์ทั่วกรุงเทพฯ ฟังผมให้ดีๆ ยกเว้นรถโดยสาร รถแท็กซี รถฉุกเฉิน รถพยาบาล รถตำรวจ นอกนั้นแล้วใช้จักรยานหมด คนก็บอกว่า ตายละ คุณสนธิ แล้วผมจะไปไหนละไปช็อปปิ้ง ผมก็บอกว่าทำไมไม่ช็อปปิ้งแถวบ้านละ คนอยู่บางนาทำไมต้องขับรถมาช็อปปิ้งแถวพารากอนละ ก็ขี่จักรยานแล้วบ้านซิ ช็อปปิ้งแถวบ้าน จะกินข้าวก็กินแถวบ้าน ใช่ไม่ใช่ สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไร ชุมชนเล็กๆ น้อยๆทั่วกรุงเทพฯ มันเกิดหมด วันอาทิตย์ทำมาค้าขายได้หมดถูกไม่ถูก ทำไมทุกอย่างมันจะต้องมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทุกส่งทุกอย่างมันต้องมาที่เดอะมอลล์ เห็นหรือยัง ที่ผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ได้สังคมมันก็ค่อยๆพัฒนาน่าอยู่มาทีละนิดทีละนิด แต่เราก็ทำมันไม่ได้อีกเพราะอะไร อิทธิพลของห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพราะว่าถ้าคนขี่จักรยานแล้วไม่ใช้รถยนต์ สยามสแควร์ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน จะมีคนไปกี่คน ใครจะยอมขี่จักรยานจากพระโขนง หรือแถวๆนี้ไปสยามพารากอนไปซื้อของละ มันก็ไม่ต้องซื้อ หาของกิน หาของแถวตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู หรือตลาดบางลำพู เข้าใจไหม ตลาดมันก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตชีวามันก็มี เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง เรื่องที่ใช้ปัญญาแค่ธรรมดามันไม่คิดกัน มันจะไปคิดอภิมหาโปรเจกต์กัน โปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ โปรเจกต์ใดพอมันยิ่งใหญ่ทีไรคนที่แบกโปรเจกต์คือใคร พวกเราใช่ไหม พวกเราทั้งนั้น เราต้องควักเงินจ่ายให้ ลูกหลานเราต้องจ่ายให้ จ่ายไปหมดทุกอย่าง เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง การไล่ระบอบทักษิณก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญในชีวิต แต่เรื่องที่สำคัญต่อมาพอๆ กัน ก็คือว่า เมื่อเราสู้มาถึงขนาดนี้แล้วเราจะสู้อย่างไรต่อ ไม่ใช่ว่าเราไล่ผีบ้าไปแล้วผีห่าซาตานอีกตัวก็โผล่เข้ามา เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราต้องคิดให้ดีๆ วันนี้เรามาเรียนโรงเรียนการเมือง เรียนโรงเรียนการเมืองที่อยู่บนถนน เรียนโรงเรียนการเมืองภาคปฏิบัติ เหมือนอย่างอาจารย์คณะรัฐศาสตร์บอก ใครก็ตามมาทุกวันเอาด็อกเตอร์ไปเลย
หลายปีมาแล้ว 2-3 ปีมาแล้วที่พ่อแม่พี่น้องร่วมกับผมสู้ทักษิณ เราสู้ด้วยอารมณ์ เพราะเราต้องการไล่ทักษิณออกไป วันนี้เรามาสู้ทักษิณอีกครั้งหนึ่ง แต่เรามาสู้ในการมีส่วนร่วม เพราะว่าเราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยพ่อแม่พี่น้อง เราไม่ต้องการเพียงแค่ไล่ออกไปอย่างเดียว เราต้องการเปลี่ยนประเทศไทย เอาประเทศไทยของเราคืนมาให้พวกเรา ถูกมั้ยพี่น้อง ใครเห็นด้วยตบมือให้หน่อย (ตบมือ) คนอย่างผมอายุ 60 ย่าง 61 ผมจะอยู่อีกกี่ปีในโลกนี้ แต่ชีวิตนี้ถ้าลูกหลานผม คนหนุ่มคนสาวที่นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อแม่ที่มีลูกหลานต่างๆ คิดถึงพวกเขา ว่าอนาคตมันจะไปยังไง
น่าเสียดายสมัย 14 ตุลาฯ คนหนุ่มคนสาวต่อสู้เพื่อเสรีภาพ กลับไปที่บ้าน ไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าผมไปสู้เรื่องนี้ๆ มา 14 ตุลาฯ แต่มาวันนี้ วันที่ 30 พฤษภาคม กลายเป็นพ่อแม่ต้องมาสู้ แล้วกลับไปเล่าให้ลูกฟัง ลูกเพิ่งจะไปเชียร์นักร้องเกาหลีมา บอกลูกเอ๊ย พ่อไปสู้เพื่อแกนะ แต่แกยังเสือกไปหลงสาวเกาหลี หนุ่มเกาหลี นักร้องนักแสดง เห็นหรือยัง ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจากอิทธิพลต่างๆ ของสื่อมวลชน ของโทรทัศน์ ผมจำได้สมัยที่ลูกผมเด็กๆ วันนี้เขา 33 แล้ว ผมจำได้ว่าแม่เขาจะให้ดูโทรทัศน์เฉพาะช่วงข่าว ช่วงอื่นเขาไม่ให้ดูเลย ผมยังจำได้เลยคืนนั้น มีการเชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงมาทานข้าวที่บ้านนานมาแล้วร่วมเกือบๆ 30 ปีมาแล้ว โทรทัศน์ข่าวมันมีนายกรัฐมนตรีผู้นำศาสนาอิหร่าน ชื่อโคมัยนี อยาตอลเลาะห์ โคมัยนี เด็กอายุ 6 ขวบ ลูกชายนายปั๊บ นายจิตตนาถ เขาชี้ไปที่ทีวีแล้วเขาพูดว่า ป๋าๆ โคมัยนี ไอ้เพื่อนผมมันก็งง สนธิลูกคุณทำไมรู้จักโคมัยนีวะ ผมก็บอกว่าเวลาเขาดูข่าว แม่เขาจับเขาดูช่วงข่าวไม่ให้ดูเรื่องอื่น พี่น้องมะม่วงมันออกลูกต้องเป็นมะม่วงใช่ไหม มันจะออกเป็นทุเรียนได้อย่างไร ลูกหลานเราเป็นอย่างไง ขึ้นอยู่กับใคร ขึ้นอยู่กับเรา ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่พี่น้องให้จำเอาไว้ใช้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้น อยู่กับเขาเรียนรู้กับเขา เรื่องครูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดไปทำไมมีเดี๋ยวผมก็เจ็บคอผมต้องตายบนเวทีแน่ ถ้าผมพูดเรื่องครู เพราะครูเมืองไทยมันเริ่มก้าวสู่ยุคใหม่แล้ว คือ ยุคเฮงซวย เด็กสมัยนี้จบมาคุณภาพเลวทราม ใช่ไม่ได้เมื่อวานนี้ผมก็เล่าให้ฟัง พี่น้องที่นั่งฟังผมอยู่จำได้ไหม ผมเล่าให้ฟังว่าผมไปเจอเด็ก มัธยมปลาย ผมถามรู้จักสุนทรภู่ไหม เขาบอกรู้จัก ผมถามว่า จำเรื่องสุนทรภู่อะไรได้บ้าง ไม่รู้จำได้แค่นี้ ผมบอกเคยท่องกลอนสุนทรภู่ได้ไหม มันก็เงียบ ผมก็บอกเคยได้ยินไหม กลอนต่างๆ สุนทรภู่ "ดังหง่าเหง่วังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา" มันทำหน้าตาเหลอหลา มันบอกว่า ลุงเอามาจากไหน ไม่เป็น ประวัติศาสตร์ไทยยังไม่รู้เลยเรามาจากไหน พูดถึงสงคราม 9 ทัพก็ไม่มีใครรู้ พูดถึงกรุงศรีอยุธยาแตก แตกตอนไหน ใครคือพระยาจักรี ไม่รู้ พูดถึงพระยาตากสิน พระเจ้าตากสิน ก็รู้อยู่อย่างเดียว พระเจ้าตากสินขี่ม้าแล้วถือดาบ อยู่แถววงเวียนใหญ่ รู้จักแค่นั้นเอง ไม่ได้พี่น้อง ไม่ได้เลย ผมสมัยเด็กๆ พ่อจะนั่ง กินข้าวแล้วพ่อจะสอนบอก ตั๊บรู้ไหมว่าป๊ามาจากไหน ปู่เป็นคนไหหลำมาจากเกาะไหหลำ มาแต่งงานกับย่าซึ่งเป็นคนไทย ชื่อย่าทอง พ่อของย่าเป็นกำนัน บอกจะแต่งงานต้องเปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุล เรามันแซ่ลิ้ม มันต้องเป็นนามสกุล พี่น้องปู่ก็ขอเปลี่ยนด้วย เขาก็บอก แซ่ลิ้ม มันแปลว่า ป่า มีต้นไม้ 2 ตัว เขาก็เลยเปลี่ยนเป็น วนา วนากิจ วนาพาณิชย์ อะไรที่ขึ้นว่า วนา นั่นคือแซ่ลิ้ม พ่อก็เล่าให้ฟังบอกว่ากู๋ก็จะเปลี่ยน แต่กู๋ไม่เอา กู๋ขอขึ้นด้วยลิ้ม เพราะกู๋เขาบอกว่าเรามันคนจีน อดีตคนจีน แซ่ลิ้ม มันเกิดมาแซ่ลิ้มมันก็ต้องตายแซ่ลิ้ม จะไปเปลี่ยนแซบรรพบุรุษได้ยังไง ก็เลยใช้คำว่าลิ้มทองกุล แล้วพ่อก็เล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง เล่าสมัยเด็กๆ ผมก็เบื๊อ เบื่อ บอกพ่อเล่าอยู่นั่นล่ะ พ่อรบกับญี่ปุ่น พ่อฆ่าญี่ปุ่นเท่านั้น มันยิงปืนใส่พ่อเท่านี้ พ่อจบโรงเรียนนายร้อยที่เมืองจีน โคตรจะเบื่อเลย แต่พอพ่อตายไปแล้ว เราแก่ตัวลง เอาตาย ่ า เรากลายเป็นรู้เรื่องพ่อดีที่สุด เรารู้ว่าพ่อเรามาจากไหน เรารู้ว่ารากเหง้าเรามายังไง เรารู้ว่าปู่เราเป็นอยู่ที่ไหนอย่างไร เรารู้ว่าย่าทองเป็นยังไง เพราะจำได้สมัยเด็กๆ พอปิดเทอมทีหนึ่งก็ขึ้นไปอยู่สุโขทัย ย่าก็นุ่งสไบ ทาบสไบ ก็คนโบราณนุ่งโจงกระเบน เช้าๆ ก็ลากหลานชายคนนี้แล้วก็ถือทัพพี ถือข้าวไป แล้วก็เดินไปที่วัดกลาง ขึ้นไปก็ตักบาตร อ้าว เอ็งตักบาตรไอ้หนู แล้วย่าก็นั่งฟังธรรมฟังเทศน์ เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้วการรู้จักตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราไม่ต้องไปอาย มีลูกมีหลานต้องสอนลูกสอนหลานให้มันรู้ ว่าเราเป็นคนจังหวัดไหน เรามาอย่างไร ปู่เคยอยู่บุรีรัมย์พ่อก็โตที่บุรีรัมย์ พอเริ่มโต เจอตระกูลชิดชอบอยู่ไม่ไหว ก็เลยย้ายออกจากบุรีรัมย์เลยดีกว่า เพราะอะไร ยกตัวอย่างให้ฟัง เล่าให้เขาฟังไปเรื่อยๆ เขาก็จะได้ ผมเป็นคนซึ่งพึ่งจะรู้คุณค่าของแม่เมื่อแม่ตายไปแล้ว ชีวิตนี้เสียใจอยู่เรื่องเดียว คือไม่ได้มีโอกาสกอดแม่ หอมแก้มแม่ และขอบคุณแม่ที่เลี้ยงมา สมัยหนุ่มๆไม่สนใจ กลับมาจากเมืองนอกยิ่งใหญ่ กลับมาที่บ้านทีไรแม่ก็นั่งอยู่ จะดึกแค่ไหนแม่ก็เตรียมข้าวไว้ ก็ถามว่ากินข้าวหรือยัง เราก็มองบอกว่าแม่รอทำไม ไปนอนไป แม่ก็ก้มหน้าเก็บกับข้าวซึ่งอุตส่าห์ทำเอาไว้ให้ลูกกิน เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา พอเดินมาแม่ก็ถามบอกว่าวันนี้ไปไหนหรือเปล่า เออ เดี๋ยวจะไปธุระ แม่ไปไหน แม่อยู่บ้าน ไม่เคยเลยที่จะบอกว่าแม่ไปข้างนอกด้วยกันไหม แม่อยากซื้ออะไรไหม ไม่มี รู้อยู่อย่างเดียวว่า เวลาไม่สบายแม่มาดูแล เวลาชีวิตตกต่ำธุรกิจล้มเหลว แม่มานั่งลูบหลังแล้วบอกตั๊บ ภาษาไหหลำเขาเรียกบทเกียงกัน(***)ไม่เป็นไรหรอก แม่จะพูดภาษาจีนไหหลำให้ฟัง บทเกียงกันบอกไม่เป็นไรนะ ให้สู้ๆ ให้ทำงานต่อไปนะ แม่ก็ให้กำลังใจเราตลอดที่เวลาเราตก แต่พอเวลาเราขึ้นเราก็เสือกลืมแม่เราอีก แม่ก็ยังอยู่ที่เก่า ตกดึกก็ยังทำกับข้าวรอลูกกลับมา แล้วพอไม่สบายแม่ก็ลุกขึ้นมา บอกกินยาหรือยัง ภาษาไหหลำยังจำได้ เจียะเอี้ยวลูโบ(***) ผมนี่ยังจำได้ภาษาไหหลำ แต่เด็กสมัยนี้พูดแต้จิ๋วก็พูดไม่ได้ พูดไหหลำก็พูดไม่ได้ พุดกวางตุ้งก็พูดไม่ได้ ผมจำได้หมดแทบจะทุกคำ เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่พูดไหหลำกัน ผมก็เลยจำได้แม่ก็พูดไหหลำกับผม ผมพูดไหหลำได้พุดจีนกลางได้ พูดอังกฤษได้ พูดไทยได้ พอวันที่แม่เสียแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท แม่เป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีเป็นมานานแล้วๆ ก็ปวด ช่วงที่แม่ปวดแม่ก็ไม่ให้ลูกรู้ มีใครบ้างละมีแม่เวลาไม่สบาย แม่เคยเล่าให้เราฟังไหม แม่ไม่เล่าใช่ไหม ทำไมแม่ไม่เล่า แม่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อน เพราะอะไรแม่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อน เพราะแม่รักเรา ไม่เป็นไรหลอกลูกแม่ไม่เจ็บ ไม่เป็นไรหลอกลูกแม่ทนได้ ไม่ต้องไปหาหมอไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะลึกๆ แม่ก็อยากบอกว่า ไม่อยากให้ลูกเสียเงิน เห็นรึเปล่านี่คือแม่ แม่ไปนอนเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ยังจำได้ ลูกชายยังเล็ก ผมไปกับแม่บ้าน ไปที่โรงแรมเคปธันวา ที่ภูเก็ต สนุกสนาน มีโทรศัพท์ด่วนมาบอกว่าให้กลับมากรุงเทพฯ ด่วน เพราะแม่กำลังรออยู่ แม่จะสิ้นแล้ว กลับมาถึงน้องสาวก็บอกว่า โกตั๊บ พอโกตั๊บเดินมาแล้วก็บอกเหนี่ย (เหนี่ยก็คือแม่) ว่าโกตั๊บมาแล้ว แม่ซึ่งตาลืมอยู่แค่นี้ก็เลยหลับตาแล้วก็สิ้นไปเลย แม่รอจนวินาทีสุดท้ายจนรู้ว่าลูกชายคนโตที่รักที่สุดมา ผมเวลานั้นผมร้องไห้เหมือนเด็ก ผมมองย้อนหลังกลับไปแล้วผมเห็นว่า มึงนี่บัดซบที่สุดไอ้สนธิ แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของลมหายใจของแม่เขายังรอมึงอยู่เลย เพราะเขารักมึงมาก มึงนี่เหี้ยจริงๆ ผมเสียดายเวลาที่ผมไม่ได้ไปกอดแม่ ไม่ได้อยู่กับแม่ ไม่ได้หอมแก้มแม่ ไม่ได้ช่วยแม่ถือของ ไม่ได้พาแม่ไปโน่นไปนี่ นั่นคือสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต ผมถึงบอกลูกๆ หลานๆ ที่มีชีวิตอยู่ หรือที่อยู่ในที่นี้ ฟังอาฟังลุงพูด ให้รักแม่มากๆ ขอให้เชื่อลุง-อา ขอให้เชื่อ เรามีแม่คนเดียว ถ้าเราไม่รักท่าน ไม่แสดงความรักกับท่านเต็มที่ อีกหน่อยเรารักท่านแค่ไหนเราก็ไม่มีท่านที่จะแสดงออกใช่ไหมพ่อแม่พี่น้อง
แล้วแม่นี่คือพระ แม่นี่คือพระจริงๆ มีใครบ้างที่เดือดร้อนแทนเรา ช่วยเราทุกเรื่อง ก็มีแม่เท่านั้น พ่อเองบางทีไม่รักเราเท่าแม่รัก นี่ก็เลยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง เพราะเป็นธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ 25 แล้ว ในช่วงเวลาตี 3 ครึ่งถึงตี 4 ตี 4 กว่าๆ จะเป็นเรื่องที่เราเล่าเรื่องครอบครัว เล่าเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟัง ว่าจริงๆ แล้วชีวิตผมกับชีวิตพ่อแม่พี่น้องเหมือนกัน เรามีทุกข์ มีสุข มีโศก มีเศร้าเหมือนกัน เรามีพ่อมีแม่ เราเป็นชนชั้นกลาง ใช้ชีวิตเหมือนกัน มีเรื่องเงินทองต้องใช้ มีเรื่องค่าเล่าเรียนต้องจ่าย มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราไม่ได้มี 73,000 ล้าน เราไม่ได้มีความยิ่งใหญ่ พวกเราทำมาหากินกันด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทุกบาททุกสตางค์เราได้มา โดนกลั่นแกล้งโดนรังแกโดนรีดภาษี เราไม่ได้หนีภาษีเหมือนคนบางคนที่เขาหนีได้ แล้วเราก็ไม่ได้มีอำนาจวาสนาที่จะไปกลั่นแกล้งเขา หรือไปยกเว้นความผิดที่ตัวเองมีอยู่ เราโดนรังแกมาตลอดชีวิต ผมกับพ่อแม่พี่น้องเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วเวลาผมพูดอะไรพ่อแม่พี่น้องถึงเข้าใจ เพราะว่าผมเป็นคนแบบเดียวกับพ่อแม่พี่น้อง ผมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรมากกว่า เป็นเพียงแต่ว่า ผมแค้นใจ ผมแค้นใจที่ทำไมมีคนมาทำกับชาติบ้านเมืองมันมากถึงขนาดนี้ ผมแค้นจนผมต้องสู้ ผมกลัวจนผมต้องกล้า อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองอายุมากแล้ว แต่ผมสู้ตั้งแต่ผมอายุ 57 ตอนนั้น จนกระทั่งปีนี้จะย่าง 61 แล้ว ก็เลยหวังว่าการสู้ครั้งนี้จะเป็นการสู้ครั้งสุดท้าย แล้วพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันสู้ก็เลยต้องเล่าให้ฟังว่าเมื่อสู้ชนะแล้ว อย่าหวังเพียงชนะเฉพาะศึกนี้ ศึกนี้เป็นเพียงศึกเริ่มต้น ศึกต่อไปคือเราจะร่วมกันอย่างไรต่อไปในอนาคตข้างหน้าเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเอาประเทศไทยของเราคืนมา ทำประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ มีจริยธรรม มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีสัมมาคารวะ มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ทำอย่างไรที่จะทำให้คนไทยพูดภาษาไทยด้วยการให้รู้เรื่อง ทำอย่างไรจะทำให้คนไทยรู้จักว่าไอ้นี่ผิด ไอ้นี่ถูก ไอ้นี่ผิดจะเอาผิดมาเป็นถูกไม่ได้ จะเอาคนสองคนมาสมานฉันท์ คนนึงชั่วคนนึงดีมาสมานฉันท์กันไม่ได้ ให้อภัยได้ไม่ว่ากันถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวขอยืมเงินเราไปแล้วก็เบี้ยวเราหนีหายหน้าเราไป 1 ปี 2 ปี แล้วมาเจอหน้าอีกทีมาไหว้เรา เราบอกว่าพี่ครับ ผมกราบมาที่แทบเท้าพี่ ผมไม่มีตังคืนพี่ครับ พี่ครับผมจนจริงๆ พี่ให้อภัยแก ยกให้มึงไป ไอ้อย่างนั้นให้อภัยได้ แต่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้คือคนที่ทำกับชาติบ้านเมือง ใช่มั้ยพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นเรื่องของชาติ มันไม่ใช่เรื่องของตัวเรา เพราะฉะนั้นแล้วให้อภัยเรื่องชาติบ้านเมืองไม่ได้ ความผิดอะไรที่ผิดกับชาติบ้านเมืองก็ต้องรับโทษรับทัณฑ์ไป ความผิดส่วนตัวให้อภัยได้ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัยคืออะไรพ่อแม่พี่น้อง คือการลืม ลืมมันไปเถอะ แต่ก็ลืมได้เฉพาะเรื่องส่วนตัวใช่มั้ย ไม่ใช่ลืมเรื่องชาติบ้านเมืองใช่มั้ย เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องชาติ เรื่องบ้านเรื่องเมือง ลืมไม่ได้ อภัยไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องครับเห็นด้วยไหม (เห็นด้วย)
พี่น้องครับ ธรรมดาผมจะพูดประมาณ 40 นาที 45 นาที วันนี้ขอตัวเถอะ ขอครึ่งชั่วโมงพอ มันเจ็บคอมาก ก็พูดได้คำเดียวว่า ไม่เคยนึก ไม่เคยฝัน ว่าเวลาตี 4 ของวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2551 บนถนนราชดำเนินนอก จากตีนสะพานมัฆวานรังสรรค์ ผมมองไปสุดลูกหูลูกตา ยังมีพ่อแม่พี่น้องอยู่กันเต็มท้องถนนหมด น้ำใจแบบนี้ไม่ใช่เป็นน้ำใจธรรมดา น้ำใจแบบนี้คือน้ำใจของคนที่มาทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือการเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากลับคืนมาสู่ประเทศไทย ขอบพระคุณครับพ่อแม่พี่น้อง
สมัยก่อนเราเจริญเติบโตมา ผมเจริญเติบโตมาก็เพราะว่าแม่รู้จักออม รู้จักเก็บ แม่เปิดร้านขายกาแฟ ขายของโชห่วยในร้าน ส่งลูก 5 คนเรียนหนังสือจนจบ ส่งผมเรียนจนจบอัสสัมชัญศรีราชา แล้วเขาให้ตั๋วเครื่องบินผมใบเดียว ไปเรียนต่อที่อเมริกา ไปทำงาน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ส่งน้องสาวเรียนจนจบจุฬาฯ ทั้งปริญญาตรีปริญญาโท ส่งน้องชายจนจบเอแบค ส่งน้องสาวอีกคนจนจบเกษตร ส่งน้องสาวอีกคนจนจบธรรมศาสตร์ ขายแค่กาแฟอย่างเดียว แล้วก็ขายสบู่กรด ขายสบู่นกแก้ว ขายสบู่ลักซ์ ขายน้ำปลา ขายข้าวสาร ทำไมสมัยก่อนเขาเลี้ยงลูกได้ตั้ง 5 คนจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีหมด ปริญญาโท มันต้องมีอะไรผิดปกติกับสังคมไทยอันนี้ วันนี้เรามานั่งกันอยู่ที่นี่เราไม่ใช่มานั่งเพียงเพราะว่าเราต้องการจะโค่นระบอบทักษิณอย่างเดียว อย่าลืมนะ เราต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วย ไม่ใช่ไล่ระบอบทักษิณไประบอบอะไรมาก็โอเค ไม่ใช่ เราต้องทำประเทศนี้ ที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับคนทุกๆ ชนชั้น ให้คนจนอยู่ได้ ให้ชนชั้นกลางอยู่ได้ ให้พ่อค้าแม่ค้าอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้วมีสิทธิ์เจริญเติบโตต่อไปได้
พี่น้องเวลาเขาพูดถึงขนส่งมวลชน เฉพาะกรุงเทพมหานคร ผมยกตัวอย่างให้ฟัง เขาพูดถึงรถไฟใต้ดิน เขาบอกจะมี 8 สาย 9 สาย 10 สาย เขาบอกอีกหน่อยรับรองว่า ทุกๆ สาย ทุกคนจะคล่องตัวหมด ผมเคยนั่งคำนวณง่าย คนๆ หนึ่งอยู่แถวพระโขนงแล้วจะมาทำงานแถวๆ บางลำพู ถ้ามันนั่งรถใต้ดินมันต้องต่อรถใต้ดิน 3 เที่ยว เที่ยวนึงมันต้องจ่าย 20 บาท 3 ขบวนต้องจ่าย 60 บาท ไป-กลับมัน 120 เดือนนึง 3,600 แล้ว บวกจุกจิกไป 4,000 เฉพาะค่าเดินทาง แล้วถ้ามันต้องเช่าห้องอย่างที่ผมบอก บวกค่าน้ำค่าไฟอีก 4,000 - 5,000 ไอ้เด็กจบปริญญาตรีแล้วมันเอาอะไรกินกัน มันถึงต้องสอนให้รู้จักโกงคนมันถึงจะอยู่รอดได้ มันต้องสอนคนให้รู้จักทำชั่วมันถึงจะอยู่ได้ไง ปรากฏว่าใครรวยละ ไอ้บริษัทที่ได้สัมปทานรวย มันรวยบนพื้นฐานใคร บนพื้นฐานที่มันต้องให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานเราทั้งหลายจะต้องจ่ายเงินค่าขนส่งแพง ในต่างประเทศขนส่งสาธารณะรถไฟใต้ดิน รัฐบาลจะต้องเอาเงินไปชดเชย เขาคิดค่าโดยสารถูก ผมมีรถยนต์ พ่อแม่พี่น้องหลายคนก็มีรถยนต์ แต่ถ้าคนมีรถยนต์ก็ต้องพร้อมที่จะเสียสละ ก็ต้องมีค่าภาษีถนน ค่าภาษีถนนก็อาจจะคิด 1% ของราคารถยนต์ ใครจะซื้อวีออสคันหนึ่ง 6 แสนบาท นอกจากภาษีทะเบียนป้ายแล้ว ยังต้องเสียภาษีอีก 1% ของ 6 แสนบาท ในปีแรกที่ซื้อ นั่นก็คือ 6,000 บาท ต้องเสีย ก็อยากมีรถก็ต้องเสียสิ
รถยนต์ในกรุงเทพฯ มีอยู่ 5-6 ล้านคัน มีหนึ่งก็มีอยู่ 40,000 ล้านบาท ที่ได้จากภาษีถนน 40,000 ล้านบาท 10 ปีก็คือ 400,000 ล้านบาท ไอ้รัฐบาลมันก็สามารถที่จะออกพันธบัตรกู้ยืมระยะยาวได้ 10-20 ปี 400,000 ล้านบาท 800,000 ล้านบาท มันก็เอาเงินก้อนนี้มาสร้างรถขนส่งมวลชนใต้ดินทั่วประเทศไทย หรือทั่วกรุงเทพฯ แล้วมันก็สามารถจะคิดราคาได้ 10 บาท วิ่งตลอดสาย จะกี่ขบวนก็ได้ นี่คือวิธีการที่ถูกต้องพ่อแม่พี่น้อง คนใช้มากต้องเสียมาก คนใช้น้อยเสียน้อย
ถนน 85% ใช้โดยคนจำนวน 15% เท่านั้นเอง นั่นคือรถยนต์ คน 85% คนส่วนใหญ่ ใช้ถนนเพียง 15% คือนั่งรถขนส่งมชน เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ทำไมไม่ทำกัน ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ถ้ามันทำกันแล้ว ประชาชนก็ไม่เดือดร้อน คนมีรถยนต์ก็จำเป็นที่จะต้องจ่าย อาจจะด่าบ้าง บ่นบ้าง แต่ถ้าขนส่งมวลชนมี จะนั่งจากตลาดพลูไปที่บางรัก ก็สามารถจะต่อรถไฟฟ้าใต้ดินได้ 2-3 ขบวน แล้วก็ 10 บาทตลอดสายทั้ง 3 ขบวน ผมถามว่าพ่อแม่พี่น้องอยากจะมีรถยนต์ไหม เอ้าพ่อแม่พี่น้องอาจจะอยากจะมีก็เก็บเอาไว้ที่บ้าน วันเสาร์-อาทิตย์ก็ออกเดินทางไปต่างจังหวัด พาลูกพาหลานไปเที่ยว
พี่น้องรู้หรือเปล่าทำไมในประเทศยุโรปน้ำมันมันแพงกว่าเราเยอะเลย แต่ทำไมเขาไม่บ่นกัน เพราะน้ำมันแพงเขาไม่ใช้รถยนต์ เขาจอดรถไว้ที่บ้าน ทั้งรถไฟรถใต้ดินเขาไปถึงโน่นหมดเลยทุกจุด แล้วเงินเดือนเขาก็เป็นเงินเดือนระดับสูง แต่ของเรานอกจากน้ำมันจะแพงใกล้เคียงแล้ว ระบบขนส่งมวลชนยังมาโขกพวกเราอีก เห็นไหมนี่ผมพูดง่ายๆ เรื่องธรรมดาแต่ทำไมเขาไม่ทำ ที่เขาไม่ทำเพราะว่าเขามีผลประโยชน์บริษัทขายรถยนต์ เขามีผลประโยชน์กับบริษัทที่ทำอะไหล่รถยนต์ ทำไมเขาไม่ทำรถไฟรางคู่ เพราะว่าบริษัทรถยนต์บริษัทขนส่งต่างๆ ที่ขนส่งสินค้าต่างๆ สมาคมรถบรรทุกคัดค้านเอาเงินให้นักการเมือง คนที่แบกภาระก็คือพวกเราทั้งนั้นเลย อันนี้เป็นสิทธิที่พวกเรามี และพวกเราต้องใช้ให้เป็น มีคนถามผมว่า น้ำมันขึ้นมา 50 เหรียญ 50 บาทต่อลิตรจะอยู่ได้อย่างไร ผมบอกปัญหาไม่ใช่น้ำมันมันขึ้นเท่าไหร่ ปัญหาคือเราไม่เคยถามตัวเราเอง รัฐบาลไม่เคยถามตัวรัฐบาลเองว่า ทุกๆ ครั้งที่น้ำมันขึ้น เราเคยคิดบ้างไหมที่จะใช้น้ำมันให้น้อยลง เราไม่เคยคิดนะพี่น้อง ลองไปคิดดูให้ดีๆ วันนี้เราต้องมารื้อฟื้นภูมิปัญญาของเรา และต้องมาคิดให้มันมีเหตุมีผล ว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับชีวิตเรา ผมยกตัวอย่างให้พ่อแม่พี่น้องในกรุงเทพฯแล้วกัน ง่ายๆ ผมอยากให้วันอาทิตย์เป็นวันที่ปลอดรถยนต์ทั่วกรุงเทพฯ ฟังผมให้ดีๆ ยกเว้นรถโดยสาร รถแท็กซี รถฉุกเฉิน รถพยาบาล รถตำรวจ นอกนั้นแล้วใช้จักรยานหมด คนก็บอกว่า ตายละ คุณสนธิ แล้วผมจะไปไหนละไปช็อปปิ้ง ผมก็บอกว่าทำไมไม่ช็อปปิ้งแถวบ้านละ คนอยู่บางนาทำไมต้องขับรถมาช็อปปิ้งแถวพารากอนละ ก็ขี่จักรยานแล้วบ้านซิ ช็อปปิ้งแถวบ้าน จะกินข้าวก็กินแถวบ้าน ใช่ไม่ใช่ สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไร ชุมชนเล็กๆ น้อยๆทั่วกรุงเทพฯ มันเกิดหมด วันอาทิตย์ทำมาค้าขายได้หมดถูกไม่ถูก ทำไมทุกอย่างมันจะต้องมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทุกส่งทุกอย่างมันต้องมาที่เดอะมอลล์ เห็นหรือยัง ที่ผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ได้สังคมมันก็ค่อยๆพัฒนาน่าอยู่มาทีละนิดทีละนิด แต่เราก็ทำมันไม่ได้อีกเพราะอะไร อิทธิพลของห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพราะว่าถ้าคนขี่จักรยานแล้วไม่ใช้รถยนต์ สยามสแควร์ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน จะมีคนไปกี่คน ใครจะยอมขี่จักรยานจากพระโขนง หรือแถวๆนี้ไปสยามพารากอนไปซื้อของละ มันก็ไม่ต้องซื้อ หาของกิน หาของแถวตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู หรือตลาดบางลำพู เข้าใจไหม ตลาดมันก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตชีวามันก็มี เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง เรื่องที่ใช้ปัญญาแค่ธรรมดามันไม่คิดกัน มันจะไปคิดอภิมหาโปรเจกต์กัน โปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ โปรเจกต์ใดพอมันยิ่งใหญ่ทีไรคนที่แบกโปรเจกต์คือใคร พวกเราใช่ไหม พวกเราทั้งนั้น เราต้องควักเงินจ่ายให้ ลูกหลานเราต้องจ่ายให้ จ่ายไปหมดทุกอย่าง เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง การไล่ระบอบทักษิณก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญในชีวิต แต่เรื่องที่สำคัญต่อมาพอๆ กัน ก็คือว่า เมื่อเราสู้มาถึงขนาดนี้แล้วเราจะสู้อย่างไรต่อ ไม่ใช่ว่าเราไล่ผีบ้าไปแล้วผีห่าซาตานอีกตัวก็โผล่เข้ามา เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราต้องคิดให้ดีๆ วันนี้เรามาเรียนโรงเรียนการเมือง เรียนโรงเรียนการเมืองที่อยู่บนถนน เรียนโรงเรียนการเมืองภาคปฏิบัติ เหมือนอย่างอาจารย์คณะรัฐศาสตร์บอก ใครก็ตามมาทุกวันเอาด็อกเตอร์ไปเลย
หลายปีมาแล้ว 2-3 ปีมาแล้วที่พ่อแม่พี่น้องร่วมกับผมสู้ทักษิณ เราสู้ด้วยอารมณ์ เพราะเราต้องการไล่ทักษิณออกไป วันนี้เรามาสู้ทักษิณอีกครั้งหนึ่ง แต่เรามาสู้ในการมีส่วนร่วม เพราะว่าเราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยพ่อแม่พี่น้อง เราไม่ต้องการเพียงแค่ไล่ออกไปอย่างเดียว เราต้องการเปลี่ยนประเทศไทย เอาประเทศไทยของเราคืนมาให้พวกเรา ถูกมั้ยพี่น้อง ใครเห็นด้วยตบมือให้หน่อย (ตบมือ) คนอย่างผมอายุ 60 ย่าง 61 ผมจะอยู่อีกกี่ปีในโลกนี้ แต่ชีวิตนี้ถ้าลูกหลานผม คนหนุ่มคนสาวที่นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อแม่ที่มีลูกหลานต่างๆ คิดถึงพวกเขา ว่าอนาคตมันจะไปยังไง
น่าเสียดายสมัย 14 ตุลาฯ คนหนุ่มคนสาวต่อสู้เพื่อเสรีภาพ กลับไปที่บ้าน ไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าผมไปสู้เรื่องนี้ๆ มา 14 ตุลาฯ แต่มาวันนี้ วันที่ 30 พฤษภาคม กลายเป็นพ่อแม่ต้องมาสู้ แล้วกลับไปเล่าให้ลูกฟัง ลูกเพิ่งจะไปเชียร์นักร้องเกาหลีมา บอกลูกเอ๊ย พ่อไปสู้เพื่อแกนะ แต่แกยังเสือกไปหลงสาวเกาหลี หนุ่มเกาหลี นักร้องนักแสดง เห็นหรือยัง ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจากอิทธิพลต่างๆ ของสื่อมวลชน ของโทรทัศน์ ผมจำได้สมัยที่ลูกผมเด็กๆ วันนี้เขา 33 แล้ว ผมจำได้ว่าแม่เขาจะให้ดูโทรทัศน์เฉพาะช่วงข่าว ช่วงอื่นเขาไม่ให้ดูเลย ผมยังจำได้เลยคืนนั้น มีการเชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงมาทานข้าวที่บ้านนานมาแล้วร่วมเกือบๆ 30 ปีมาแล้ว โทรทัศน์ข่าวมันมีนายกรัฐมนตรีผู้นำศาสนาอิหร่าน ชื่อโคมัยนี อยาตอลเลาะห์ โคมัยนี เด็กอายุ 6 ขวบ ลูกชายนายปั๊บ นายจิตตนาถ เขาชี้ไปที่ทีวีแล้วเขาพูดว่า ป๋าๆ โคมัยนี ไอ้เพื่อนผมมันก็งง สนธิลูกคุณทำไมรู้จักโคมัยนีวะ ผมก็บอกว่าเวลาเขาดูข่าว แม่เขาจับเขาดูช่วงข่าวไม่ให้ดูเรื่องอื่น พี่น้องมะม่วงมันออกลูกต้องเป็นมะม่วงใช่ไหม มันจะออกเป็นทุเรียนได้อย่างไร ลูกหลานเราเป็นอย่างไง ขึ้นอยู่กับใคร ขึ้นอยู่กับเรา ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่พี่น้องให้จำเอาไว้ใช้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้น อยู่กับเขาเรียนรู้กับเขา เรื่องครูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดไปทำไมมีเดี๋ยวผมก็เจ็บคอผมต้องตายบนเวทีแน่ ถ้าผมพูดเรื่องครู เพราะครูเมืองไทยมันเริ่มก้าวสู่ยุคใหม่แล้ว คือ ยุคเฮงซวย เด็กสมัยนี้จบมาคุณภาพเลวทราม ใช่ไม่ได้เมื่อวานนี้ผมก็เล่าให้ฟัง พี่น้องที่นั่งฟังผมอยู่จำได้ไหม ผมเล่าให้ฟังว่าผมไปเจอเด็ก มัธยมปลาย ผมถามรู้จักสุนทรภู่ไหม เขาบอกรู้จัก ผมถามว่า จำเรื่องสุนทรภู่อะไรได้บ้าง ไม่รู้จำได้แค่นี้ ผมบอกเคยท่องกลอนสุนทรภู่ได้ไหม มันก็เงียบ ผมก็บอกเคยได้ยินไหม กลอนต่างๆ สุนทรภู่ "ดังหง่าเหง่วังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา" มันทำหน้าตาเหลอหลา มันบอกว่า ลุงเอามาจากไหน ไม่เป็น ประวัติศาสตร์ไทยยังไม่รู้เลยเรามาจากไหน พูดถึงสงคราม 9 ทัพก็ไม่มีใครรู้ พูดถึงกรุงศรีอยุธยาแตก แตกตอนไหน ใครคือพระยาจักรี ไม่รู้ พูดถึงพระยาตากสิน พระเจ้าตากสิน ก็รู้อยู่อย่างเดียว พระเจ้าตากสินขี่ม้าแล้วถือดาบ อยู่แถววงเวียนใหญ่ รู้จักแค่นั้นเอง ไม่ได้พี่น้อง ไม่ได้เลย ผมสมัยเด็กๆ พ่อจะนั่ง กินข้าวแล้วพ่อจะสอนบอก ตั๊บรู้ไหมว่าป๊ามาจากไหน ปู่เป็นคนไหหลำมาจากเกาะไหหลำ มาแต่งงานกับย่าซึ่งเป็นคนไทย ชื่อย่าทอง พ่อของย่าเป็นกำนัน บอกจะแต่งงานต้องเปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุล เรามันแซ่ลิ้ม มันต้องเป็นนามสกุล พี่น้องปู่ก็ขอเปลี่ยนด้วย เขาก็บอก แซ่ลิ้ม มันแปลว่า ป่า มีต้นไม้ 2 ตัว เขาก็เลยเปลี่ยนเป็น วนา วนากิจ วนาพาณิชย์ อะไรที่ขึ้นว่า วนา นั่นคือแซ่ลิ้ม พ่อก็เล่าให้ฟังบอกว่ากู๋ก็จะเปลี่ยน แต่กู๋ไม่เอา กู๋ขอขึ้นด้วยลิ้ม เพราะกู๋เขาบอกว่าเรามันคนจีน อดีตคนจีน แซ่ลิ้ม มันเกิดมาแซ่ลิ้มมันก็ต้องตายแซ่ลิ้ม จะไปเปลี่ยนแซบรรพบุรุษได้ยังไง ก็เลยใช้คำว่าลิ้มทองกุล แล้วพ่อก็เล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง เล่าสมัยเด็กๆ ผมก็เบื๊อ เบื่อ บอกพ่อเล่าอยู่นั่นล่ะ พ่อรบกับญี่ปุ่น พ่อฆ่าญี่ปุ่นเท่านั้น มันยิงปืนใส่พ่อเท่านี้ พ่อจบโรงเรียนนายร้อยที่เมืองจีน โคตรจะเบื่อเลย แต่พอพ่อตายไปแล้ว เราแก่ตัวลง เอาตาย ่ า เรากลายเป็นรู้เรื่องพ่อดีที่สุด เรารู้ว่าพ่อเรามาจากไหน เรารู้ว่ารากเหง้าเรามายังไง เรารู้ว่าปู่เราเป็นอยู่ที่ไหนอย่างไร เรารู้ว่าย่าทองเป็นยังไง เพราะจำได้สมัยเด็กๆ พอปิดเทอมทีหนึ่งก็ขึ้นไปอยู่สุโขทัย ย่าก็นุ่งสไบ ทาบสไบ ก็คนโบราณนุ่งโจงกระเบน เช้าๆ ก็ลากหลานชายคนนี้แล้วก็ถือทัพพี ถือข้าวไป แล้วก็เดินไปที่วัดกลาง ขึ้นไปก็ตักบาตร อ้าว เอ็งตักบาตรไอ้หนู แล้วย่าก็นั่งฟังธรรมฟังเทศน์ เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้วการรู้จักตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราไม่ต้องไปอาย มีลูกมีหลานต้องสอนลูกสอนหลานให้มันรู้ ว่าเราเป็นคนจังหวัดไหน เรามาอย่างไร ปู่เคยอยู่บุรีรัมย์พ่อก็โตที่บุรีรัมย์ พอเริ่มโต เจอตระกูลชิดชอบอยู่ไม่ไหว ก็เลยย้ายออกจากบุรีรัมย์เลยดีกว่า เพราะอะไร ยกตัวอย่างให้ฟัง เล่าให้เขาฟังไปเรื่อยๆ เขาก็จะได้ ผมเป็นคนซึ่งพึ่งจะรู้คุณค่าของแม่เมื่อแม่ตายไปแล้ว ชีวิตนี้เสียใจอยู่เรื่องเดียว คือไม่ได้มีโอกาสกอดแม่ หอมแก้มแม่ และขอบคุณแม่ที่เลี้ยงมา สมัยหนุ่มๆไม่สนใจ กลับมาจากเมืองนอกยิ่งใหญ่ กลับมาที่บ้านทีไรแม่ก็นั่งอยู่ จะดึกแค่ไหนแม่ก็เตรียมข้าวไว้ ก็ถามว่ากินข้าวหรือยัง เราก็มองบอกว่าแม่รอทำไม ไปนอนไป แม่ก็ก้มหน้าเก็บกับข้าวซึ่งอุตส่าห์ทำเอาไว้ให้ลูกกิน เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา พอเดินมาแม่ก็ถามบอกว่าวันนี้ไปไหนหรือเปล่า เออ เดี๋ยวจะไปธุระ แม่ไปไหน แม่อยู่บ้าน ไม่เคยเลยที่จะบอกว่าแม่ไปข้างนอกด้วยกันไหม แม่อยากซื้ออะไรไหม ไม่มี รู้อยู่อย่างเดียวว่า เวลาไม่สบายแม่มาดูแล เวลาชีวิตตกต่ำธุรกิจล้มเหลว แม่มานั่งลูบหลังแล้วบอกตั๊บ ภาษาไหหลำเขาเรียกบทเกียงกัน(***)ไม่เป็นไรหรอก แม่จะพูดภาษาจีนไหหลำให้ฟัง บทเกียงกันบอกไม่เป็นไรนะ ให้สู้ๆ ให้ทำงานต่อไปนะ แม่ก็ให้กำลังใจเราตลอดที่เวลาเราตก แต่พอเวลาเราขึ้นเราก็เสือกลืมแม่เราอีก แม่ก็ยังอยู่ที่เก่า ตกดึกก็ยังทำกับข้าวรอลูกกลับมา แล้วพอไม่สบายแม่ก็ลุกขึ้นมา บอกกินยาหรือยัง ภาษาไหหลำยังจำได้ เจียะเอี้ยวลูโบ(***) ผมนี่ยังจำได้ภาษาไหหลำ แต่เด็กสมัยนี้พูดแต้จิ๋วก็พูดไม่ได้ พูดไหหลำก็พูดไม่ได้ พุดกวางตุ้งก็พูดไม่ได้ ผมจำได้หมดแทบจะทุกคำ เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่พูดไหหลำกัน ผมก็เลยจำได้แม่ก็พูดไหหลำกับผม ผมพูดไหหลำได้พุดจีนกลางได้ พูดอังกฤษได้ พูดไทยได้ พอวันที่แม่เสียแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท แม่เป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีเป็นมานานแล้วๆ ก็ปวด ช่วงที่แม่ปวดแม่ก็ไม่ให้ลูกรู้ มีใครบ้างละมีแม่เวลาไม่สบาย แม่เคยเล่าให้เราฟังไหม แม่ไม่เล่าใช่ไหม ทำไมแม่ไม่เล่า แม่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อน เพราะอะไรแม่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อน เพราะแม่รักเรา ไม่เป็นไรหลอกลูกแม่ไม่เจ็บ ไม่เป็นไรหลอกลูกแม่ทนได้ ไม่ต้องไปหาหมอไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะลึกๆ แม่ก็อยากบอกว่า ไม่อยากให้ลูกเสียเงิน เห็นรึเปล่านี่คือแม่ แม่ไปนอนเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ยังจำได้ ลูกชายยังเล็ก ผมไปกับแม่บ้าน ไปที่โรงแรมเคปธันวา ที่ภูเก็ต สนุกสนาน มีโทรศัพท์ด่วนมาบอกว่าให้กลับมากรุงเทพฯ ด่วน เพราะแม่กำลังรออยู่ แม่จะสิ้นแล้ว กลับมาถึงน้องสาวก็บอกว่า โกตั๊บ พอโกตั๊บเดินมาแล้วก็บอกเหนี่ย (เหนี่ยก็คือแม่) ว่าโกตั๊บมาแล้ว แม่ซึ่งตาลืมอยู่แค่นี้ก็เลยหลับตาแล้วก็สิ้นไปเลย แม่รอจนวินาทีสุดท้ายจนรู้ว่าลูกชายคนโตที่รักที่สุดมา ผมเวลานั้นผมร้องไห้เหมือนเด็ก ผมมองย้อนหลังกลับไปแล้วผมเห็นว่า มึงนี่บัดซบที่สุดไอ้สนธิ แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของลมหายใจของแม่เขายังรอมึงอยู่เลย เพราะเขารักมึงมาก มึงนี่เหี้ยจริงๆ ผมเสียดายเวลาที่ผมไม่ได้ไปกอดแม่ ไม่ได้อยู่กับแม่ ไม่ได้หอมแก้มแม่ ไม่ได้ช่วยแม่ถือของ ไม่ได้พาแม่ไปโน่นไปนี่ นั่นคือสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต ผมถึงบอกลูกๆ หลานๆ ที่มีชีวิตอยู่ หรือที่อยู่ในที่นี้ ฟังอาฟังลุงพูด ให้รักแม่มากๆ ขอให้เชื่อลุง-อา ขอให้เชื่อ เรามีแม่คนเดียว ถ้าเราไม่รักท่าน ไม่แสดงความรักกับท่านเต็มที่ อีกหน่อยเรารักท่านแค่ไหนเราก็ไม่มีท่านที่จะแสดงออกใช่ไหมพ่อแม่พี่น้อง
แล้วแม่นี่คือพระ แม่นี่คือพระจริงๆ มีใครบ้างที่เดือดร้อนแทนเรา ช่วยเราทุกเรื่อง ก็มีแม่เท่านั้น พ่อเองบางทีไม่รักเราเท่าแม่รัก นี่ก็เลยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง เพราะเป็นธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ 25 แล้ว ในช่วงเวลาตี 3 ครึ่งถึงตี 4 ตี 4 กว่าๆ จะเป็นเรื่องที่เราเล่าเรื่องครอบครัว เล่าเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟัง ว่าจริงๆ แล้วชีวิตผมกับชีวิตพ่อแม่พี่น้องเหมือนกัน เรามีทุกข์ มีสุข มีโศก มีเศร้าเหมือนกัน เรามีพ่อมีแม่ เราเป็นชนชั้นกลาง ใช้ชีวิตเหมือนกัน มีเรื่องเงินทองต้องใช้ มีเรื่องค่าเล่าเรียนต้องจ่าย มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราไม่ได้มี 73,000 ล้าน เราไม่ได้มีความยิ่งใหญ่ พวกเราทำมาหากินกันด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทุกบาททุกสตางค์เราได้มา โดนกลั่นแกล้งโดนรังแกโดนรีดภาษี เราไม่ได้หนีภาษีเหมือนคนบางคนที่เขาหนีได้ แล้วเราก็ไม่ได้มีอำนาจวาสนาที่จะไปกลั่นแกล้งเขา หรือไปยกเว้นความผิดที่ตัวเองมีอยู่ เราโดนรังแกมาตลอดชีวิต ผมกับพ่อแม่พี่น้องเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วเวลาผมพูดอะไรพ่อแม่พี่น้องถึงเข้าใจ เพราะว่าผมเป็นคนแบบเดียวกับพ่อแม่พี่น้อง ผมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรมากกว่า เป็นเพียงแต่ว่า ผมแค้นใจ ผมแค้นใจที่ทำไมมีคนมาทำกับชาติบ้านเมืองมันมากถึงขนาดนี้ ผมแค้นจนผมต้องสู้ ผมกลัวจนผมต้องกล้า อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองอายุมากแล้ว แต่ผมสู้ตั้งแต่ผมอายุ 57 ตอนนั้น จนกระทั่งปีนี้จะย่าง 61 แล้ว ก็เลยหวังว่าการสู้ครั้งนี้จะเป็นการสู้ครั้งสุดท้าย แล้วพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันสู้ก็เลยต้องเล่าให้ฟังว่าเมื่อสู้ชนะแล้ว อย่าหวังเพียงชนะเฉพาะศึกนี้ ศึกนี้เป็นเพียงศึกเริ่มต้น ศึกต่อไปคือเราจะร่วมกันอย่างไรต่อไปในอนาคตข้างหน้าเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเอาประเทศไทยของเราคืนมา ทำประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ มีจริยธรรม มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีสัมมาคารวะ มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ทำอย่างไรที่จะทำให้คนไทยพูดภาษาไทยด้วยการให้รู้เรื่อง ทำอย่างไรจะทำให้คนไทยรู้จักว่าไอ้นี่ผิด ไอ้นี่ถูก ไอ้นี่ผิดจะเอาผิดมาเป็นถูกไม่ได้ จะเอาคนสองคนมาสมานฉันท์ คนนึงชั่วคนนึงดีมาสมานฉันท์กันไม่ได้ ให้อภัยได้ไม่ว่ากันถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวขอยืมเงินเราไปแล้วก็เบี้ยวเราหนีหายหน้าเราไป 1 ปี 2 ปี แล้วมาเจอหน้าอีกทีมาไหว้เรา เราบอกว่าพี่ครับ ผมกราบมาที่แทบเท้าพี่ ผมไม่มีตังคืนพี่ครับ พี่ครับผมจนจริงๆ พี่ให้อภัยแก ยกให้มึงไป ไอ้อย่างนั้นให้อภัยได้ แต่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้คือคนที่ทำกับชาติบ้านเมือง ใช่มั้ยพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นเรื่องของชาติ มันไม่ใช่เรื่องของตัวเรา เพราะฉะนั้นแล้วให้อภัยเรื่องชาติบ้านเมืองไม่ได้ ความผิดอะไรที่ผิดกับชาติบ้านเมืองก็ต้องรับโทษรับทัณฑ์ไป ความผิดส่วนตัวให้อภัยได้ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้อภัยคืออะไรพ่อแม่พี่น้อง คือการลืม ลืมมันไปเถอะ แต่ก็ลืมได้เฉพาะเรื่องส่วนตัวใช่มั้ย ไม่ใช่ลืมเรื่องชาติบ้านเมืองใช่มั้ย เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องชาติ เรื่องบ้านเรื่องเมือง ลืมไม่ได้ อภัยไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องครับเห็นด้วยไหม (เห็นด้วย)
พี่น้องครับ ธรรมดาผมจะพูดประมาณ 40 นาที 45 นาที วันนี้ขอตัวเถอะ ขอครึ่งชั่วโมงพอ มันเจ็บคอมาก ก็พูดได้คำเดียวว่า ไม่เคยนึก ไม่เคยฝัน ว่าเวลาตี 4 ของวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2551 บนถนนราชดำเนินนอก จากตีนสะพานมัฆวานรังสรรค์ ผมมองไปสุดลูกหูลูกตา ยังมีพ่อแม่พี่น้องอยู่กันเต็มท้องถนนหมด น้ำใจแบบนี้ไม่ใช่เป็นน้ำใจธรรมดา น้ำใจแบบนี้คือน้ำใจของคนที่มาทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือการเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากลับคืนมาสู่ประเทศไทย ขอบพระคุณครับพ่อแม่พี่น้อง