ภายหลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เดินทางกลับจากการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเดินทางเยือนในครั้งนี้ได้มีข้อตกลงในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน (***) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้มีการหารือร่วมกันเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งได้มีข้อตกลงในหลายๆ เรื่อง อาทิ ข้อตกลงที่จะพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา บริเวณอ่าวไทย ซึ่งจะมีการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพื่อนำขึ้นมาใช้ และมีการแบ่งรายได้กันระหว่างไทยและกัมพูชา นอกจากนั้น ยังมีกรณีที่ไทยจะอนุมัติวงเงิน 1,400 ล้านบาท ให้กับทางกัมพูชาเพื่อสร้างถนนและ (***) เชื่อมต่อระหว่างถนนจาก จ.ตราด ไปถึงนครวัด-นครธม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดในการหารือครั้งนี้ คือประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งได้มีข้อตกลงในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะกรณีที่ทางกัมพูชาได้แสดงท่าทีว่าจะเสนอให้เฉพาะตัวพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในการเสนอครั้งแรกของกัมพูชาได้มีการรวมพื้นที่เขาพระวิหาร ที่เป็นพื้นที่ในเขตของไทยด้วย แต่ในการพูดคุยเมื่อวานนี้ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอและข้อตกลงว่าจะเสนอเพียงแค่ตัวแค่ตัววิหารเป็นมรดกโลก โดยจะไม่รวมตัวเขาพระวิหารเข้าไปด้วย ซึ่งทางไทยก็มีท่าทีที่ยอมรับได้ และจะมีการทำสัญญาข้อตกลงกันในภายหลัง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับนักธุรกิจไทยในประเทศกัมพูชา ซึ่งได้มีการสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา โดยนักธุรกิจได้เสนอแนะปัญหา และบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า ในการลงทุนแต่ละครั้งต้องนำเงินมาจากประเทศไทยเพื่อไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารที่ไปเปิดสาขาในประเทศกัมพูชา ทั้งที่เป็นธนาคารของไทยเอง ในการกู้ยืมเงินเพื่อนำมาลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีได้รับทราบและจะแก้ไขในภายหลัง
นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดในการหารือครั้งนี้ คือประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งได้มีข้อตกลงในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะกรณีที่ทางกัมพูชาได้แสดงท่าทีว่าจะเสนอให้เฉพาะตัวพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในการเสนอครั้งแรกของกัมพูชาได้มีการรวมพื้นที่เขาพระวิหาร ที่เป็นพื้นที่ในเขตของไทยด้วย แต่ในการพูดคุยเมื่อวานนี้ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอและข้อตกลงว่าจะเสนอเพียงแค่ตัวแค่ตัววิหารเป็นมรดกโลก โดยจะไม่รวมตัวเขาพระวิหารเข้าไปด้วย ซึ่งทางไทยก็มีท่าทีที่ยอมรับได้ และจะมีการทำสัญญาข้อตกลงกันในภายหลัง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับนักธุรกิจไทยในประเทศกัมพูชา ซึ่งได้มีการสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา โดยนักธุรกิจได้เสนอแนะปัญหา และบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า ในการลงทุนแต่ละครั้งต้องนำเงินมาจากประเทศไทยเพื่อไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารที่ไปเปิดสาขาในประเทศกัมพูชา ทั้งที่เป็นธนาคารของไทยเอง ในการกู้ยืมเงินเพื่อนำมาลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีได้รับทราบและจะแก้ไขในภายหลัง
