นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสแซท พลัส กล่าวถึงมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ว่า ไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย แม้ปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายเกือบหมดแล้ว แต่สายตาของนักลงทุนต่างชาติยังมองว่าการที่ไทยมีมาตรการควบคุมการไหลเข้า-ออกของเงินทุน แสดงว่าไทยยังมีความผิดปกติ ซึ่งเท่าที่พูดคุยกับผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ เห็นว่าควรจะมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าว แม้ที่ผ่านมามาตรการนี้จะสามารถดูแลการแข็งค่าของเงินบาทได้ระดับหนึ่ง เพราะค่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้น โดยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับภูมิภาค จึงไม่แน่ใจว่ามาตรการนี้ได้ผลเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการพูดถึงความเสี่ยงความเสียหาย และการเข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติ
อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยที่จะมีมาตรการรองรับความผันผวนของค่าเงินบาท หากมีการยกเลิกมาตรการสำรองร้อยละ 30 แต่จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ส่วนผลกระทบต่อตลาดทุนคงไม่มาก เพราะมาตรการนี้ ไม่ได้ควบคุมเงินลงทุนในตลาดหุ้น และที่ผ่านมานักลงทุนมีการรับรู้ข้อมูลระดับหนึ่งแล้วว่าจะมีการประกาศยกเลิก
ส่วนตลาดหุ้นไทยหลังมีรัฐบาลใหม่น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสามารถกระตุ้นความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติได้ และรัฐบาลมีการใช้เงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ และโครงการประชานิยมที่เข้าถึงระดับรากหญ้า ซึ่งคงจะทำให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนตามมาในอนาคต แต่อยากให้รัฐบาลระมัดระวังการใช้เงินด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยที่จะมีมาตรการรองรับความผันผวนของค่าเงินบาท หากมีการยกเลิกมาตรการสำรองร้อยละ 30 แต่จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ส่วนผลกระทบต่อตลาดทุนคงไม่มาก เพราะมาตรการนี้ ไม่ได้ควบคุมเงินลงทุนในตลาดหุ้น และที่ผ่านมานักลงทุนมีการรับรู้ข้อมูลระดับหนึ่งแล้วว่าจะมีการประกาศยกเลิก
ส่วนตลาดหุ้นไทยหลังมีรัฐบาลใหม่น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสามารถกระตุ้นความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติได้ และรัฐบาลมีการใช้เงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ และโครงการประชานิยมที่เข้าถึงระดับรากหญ้า ซึ่งคงจะทำให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนตามมาในอนาคต แต่อยากให้รัฐบาลระมัดระวังการใช้เงินด้วย