พล.ต.ท.นิพนธ์ ศิริวงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เปิดใจครั้งแรกถึงเหตุการณ์ผู้ใต้บังคับบัญชาอุ้มรีดเงินประชาชน ว่า ได้สั่งยกเครื่องการทำงานของตำรวจตระเวนชายแดนสายปราบปราม โดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติดใหม่ทั้งหมด โดยให้เน้นเฉพาะการทำงานในพื้นที่ 30 จังหวัดตามแนวชายแดนที่รับผิดชอบ หากมีการขยายออกนอกพื้นที่ให้ประสานตำรวจปราบปรามยาเสพติดและเจ้าของพื้นที่ดำเนินการ ขณะเดียวกัน ให้ตรวจสอบปูมหลังตำรวจสายงานนี้ ว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ หากพบว่าผิดปกติให้รายงานที่มาที่ไปของทรัพย์สิน
นอกจากนั้นยังมอบหมายให้ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ สุริโย รอง ผบช.ตชด.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้รายงานผลกลับมาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ส่วน พ.ต.อ.สิงหนาถ สีกาแก้ว ผู้กำกับการ ตชด.41 ผู้บังคับบัญชาของ ร.ต.อ.ณัฏฐ์ ชลนิธิวณิชย์ ได้สั่งให้มาช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นเวลา 30 วัน และหากการสอบสวนขยายผลพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาควบคู่การสอบสวนทางวินัย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นต้องขุดรากถอนโคน ดำเนินการกับตำรวจทุกนายที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีการปกป้อง และอยากขอโทษประชาชน พร้อมกับแสดงความเห็นใจที่ตำรวจ ตชด.ทำร้ายประชาชนแสนสาหัส ซึ่งตนพร้อมรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าหน่วย
พล.ต.ท.นิพนธ์ เพิ่มเติมว่า ไม่เคยเข้าข้างตำรวจในสังกัดที่กระทำความผิด โดยในรอบปีที่ผ่านมา มีนายตำรวจถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ 17 นาย ถูกปลดออก 5 นาย กักขัง 96 นาย กักยาม 21 นาย และถูกภาคทัณฑ์ 206 นาย
นอกจากนั้นยังมอบหมายให้ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ สุริโย รอง ผบช.ตชด.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยให้รายงานผลกลับมาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ส่วน พ.ต.อ.สิงหนาถ สีกาแก้ว ผู้กำกับการ ตชด.41 ผู้บังคับบัญชาของ ร.ต.อ.ณัฏฐ์ ชลนิธิวณิชย์ ได้สั่งให้มาช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นเวลา 30 วัน และหากการสอบสวนขยายผลพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาควบคู่การสอบสวนทางวินัย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นต้องขุดรากถอนโคน ดำเนินการกับตำรวจทุกนายที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีการปกป้อง และอยากขอโทษประชาชน พร้อมกับแสดงความเห็นใจที่ตำรวจ ตชด.ทำร้ายประชาชนแสนสาหัส ซึ่งตนพร้อมรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าหน่วย
พล.ต.ท.นิพนธ์ เพิ่มเติมว่า ไม่เคยเข้าข้างตำรวจในสังกัดที่กระทำความผิด โดยในรอบปีที่ผ่านมา มีนายตำรวจถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ 17 นาย ถูกปลดออก 5 นาย กักขัง 96 นาย กักยาม 21 นาย และถูกภาคทัณฑ์ 206 นาย
