นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวถึงกรณีนายมานิต ไล้ทอง อดีตข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ นำสกู๊ปข่าวสำนักข่าวไทย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ไปบันทึก และเสนอขายโดยไม่ได้รับอนุญาตว่า ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่เสียง แพร่ภาพ และโสตทัศนวัสดุ ดังนั้น การจัดทำโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมายการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาตรา 29 (1) โดยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเพื่อทำประโยชน์ทางการค้า มีโทษจำคุก 6 เดือน - 4 ปี หรือปรับ 100,000 - 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นางพวงรัตน์ กล่าวว่า แม้ฟรีทีวีที่ออกอากาศในปัจจุบันถือเป็นสื่อสาธารณะ แต่เป็นงานลิขสิทธิ์ประเภทแพร่เสียงแพร่ภาพตามนิยามมาตรา 4 ดังนั้น การที่มีบุคคลใดจัดทำโสตทัศนวัสดุในการเผยแพร่ภาพ เป็นการทำซ้ำแพร่เสียงแพร่ภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ถือมีความผิดเช่นกัน แต่หากผู้ชมนำผลงานไปเผยแพร่ แต่ไม่ได้กระทำในเชิงพาณิชย์ ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ถ้าหากเรียกเก็บเงินก็ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ซึ่งกรมฯ ขอให้ผู้ประกอบการธุรกิจฟรีทีวี ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ควรดำเนินการสอดส่องดูแล หากเห็นว่ามีใครละเมิดลิขสิทธิ์ให้ส่งข้อมูลมายังกรมฯ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้
ส่วนกรณีผู้กระทำความผิดดังกล่าวไปตั้งชื่อเป็นสำนักข่าวโทรทัศน์ไทย และอ้างว่าผ่านการจดทะเบียนจัดตั้ง และได้รับอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว หากเจ้าของสิทธิเห็นว่าผู้ละเมิดกระทำความผิดดังกล่าว ควรถอดถอนจากทะเบียนการค้าได้หรือไม่ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ต้องมีการประสานกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าต่อไป
รายงานข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า เท่าที่ตรวจสอบการจดทะเบียนของสำนักข่าวโทรทัศน์ไทย ตามที่ได้รับอนุญาตที่ออกโดยกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 ไม่มีชื่อสำนักข่าวโทรทัศน์ในระบบของกรมฯ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจดทะเบียนปลอม ซึ่งกรมฯ ต้องตรวจสอบอีกครั้ง หากผู้ถูกละเมิด ไม่ว่าจะเป็น บมจ.อสมท หรือรายอื่นๆ มีข้อมูลให้แจ้งมายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
นางพวงรัตน์ กล่าวว่า แม้ฟรีทีวีที่ออกอากาศในปัจจุบันถือเป็นสื่อสาธารณะ แต่เป็นงานลิขสิทธิ์ประเภทแพร่เสียงแพร่ภาพตามนิยามมาตรา 4 ดังนั้น การที่มีบุคคลใดจัดทำโสตทัศนวัสดุในการเผยแพร่ภาพ เป็นการทำซ้ำแพร่เสียงแพร่ภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ถือมีความผิดเช่นกัน แต่หากผู้ชมนำผลงานไปเผยแพร่ แต่ไม่ได้กระทำในเชิงพาณิชย์ ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ถ้าหากเรียกเก็บเงินก็ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ซึ่งกรมฯ ขอให้ผู้ประกอบการธุรกิจฟรีทีวี ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ควรดำเนินการสอดส่องดูแล หากเห็นว่ามีใครละเมิดลิขสิทธิ์ให้ส่งข้อมูลมายังกรมฯ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้
ส่วนกรณีผู้กระทำความผิดดังกล่าวไปตั้งชื่อเป็นสำนักข่าวโทรทัศน์ไทย และอ้างว่าผ่านการจดทะเบียนจัดตั้ง และได้รับอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว หากเจ้าของสิทธิเห็นว่าผู้ละเมิดกระทำความผิดดังกล่าว ควรถอดถอนจากทะเบียนการค้าได้หรือไม่ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ต้องมีการประสานกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าต่อไป
รายงานข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า เท่าที่ตรวจสอบการจดทะเบียนของสำนักข่าวโทรทัศน์ไทย ตามที่ได้รับอนุญาตที่ออกโดยกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 ไม่มีชื่อสำนักข่าวโทรทัศน์ในระบบของกรมฯ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจดทะเบียนปลอม ซึ่งกรมฯ ต้องตรวจสอบอีกครั้ง หากผู้ถูกละเมิด ไม่ว่าจะเป็น บมจ.อสมท หรือรายอื่นๆ มีข้อมูลให้แจ้งมายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
