นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ส่งออกของไทยได้รับประโยชน์จากระบบสิทธิพิเศษทางภาษีทางศุลกากร (จีเอสพี) ญี่ปุ่นโดยตลอด ต่อมาเมื่อรัฐบาลไทยและญี่ปุ่นร่วมกันจัดทำข้อตกลงเจเทปป้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2550 เป็นต้นมานั้น ทิศทางการส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2550 - 9 ม.ค. 2551 มีการส่งออกภายใต้ความตกลงเจเทปป้า มูลค่า 1,157.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.03 ของมูลค่าการส่งออกไทยไปญี่ปุ่น สินค้าส่งออกสำคัญที่ขอใช้สิทธิพิเศษเจเทปป้า ได้แก่ ไก่ปรุงแต่ง ยานยนต์และชิ้นส่วน กุ้งปรุงแต่ง น้ำมันเบนซิน และผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น
ส่วนการส่งออกภายใต้ระบบจีเอสพี ญี่ปุ่นในช่วง 10 เดือนแรก ปี 2550 พบว่า กรมการค้าต่างประเทศได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดฯ Form A ทั้งสิ้น 38,916 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 1,120.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.94 โดยมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ ร้อยละ 16.49 เป็นผลมาจากการที่สินค้าส่งออกสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะโมดิไฟด์สตาร์ช เดกซ์ทริน ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ฯลฯ ถูกระงับสิทธิจีเอสพี ญี่ปุ่น เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศไทยเกินเพดานที่กำหนดไว้ ดังนั้น การที่มีความตกลงเจเทปป้าจึงนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือส่งเสริมศักยภาพในด้านการส่งออกของไทยในตลาดญี่ปุ่นให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม แต่ภายใต้ความตกลงเจเทปป้า ยังคงมีสินค้าบางรายการที่ไม่สามารถหาข้อสรุปในการเปิดตลาดระหว่างกันได้
ดังนั้น การที่ญี่ปุ่นยังคงให้สิทธิจีเอสพีแก่ไทย โดยให้สิทธิพิเศษฯ เฉพาะสินค้าที่อยู่ในบัญชีรายการสินค้าทั้ง 102 รายการ ที่ได้รับประโยชน์มากกว่าประโยชน์ที่ผู้ส่งออกของไทยได้รับจากความตกลงเจเทปป้า โดยแบ่งเป็นสินค้า 2 กลุ่ม คือ สินค้าจำนวน 80 รายการ เป็นสินค้าต้องนำกลับมาหารือกันใหม่หรือเป็นสินค้าที่ยกออกจากการเจรจาฯ อาทิ สินค้าในพิกัดฯ 3505.20-000 (กาว) พิกัดฯ 4303.10-019 (เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยหนังสัตว์อื่น ๆ ) พิกัดฯ 4412.99-110 (แผ่นไม้อัดที่ได้จากเศษไม้ฯ) เป็นต้น ส่วนกลุ่ม 2 สินค้าจำนวน 22 รายการ ที่มีอัตราภาษีภายใต้ระบบ GSP ต่ำกว่าอัตราภาษีภายใต้ความตกลง JTEPA อาทิ สินค้าในพิกัดฯ 3901.10-020 (โพลิเอทิลีนผงฯ), พิกัดฯ 3903.90-010 (โพลิเมอร์ของสไตรีน ขั้นปฐมอื่นๆ ) พิกัดฯ 6405.10-300 ( รองเท้าอื่นๆ ที่ทำด้วยหนังฟอก) เป็นต้น
ส่วนการส่งออกภายใต้ระบบจีเอสพี ญี่ปุ่นในช่วง 10 เดือนแรก ปี 2550 พบว่า กรมการค้าต่างประเทศได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดฯ Form A ทั้งสิ้น 38,916 ฉบับ คิดเป็นมูลค่า 1,120.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.94 โดยมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ ร้อยละ 16.49 เป็นผลมาจากการที่สินค้าส่งออกสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะโมดิไฟด์สตาร์ช เดกซ์ทริน ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ฯลฯ ถูกระงับสิทธิจีเอสพี ญี่ปุ่น เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศไทยเกินเพดานที่กำหนดไว้ ดังนั้น การที่มีความตกลงเจเทปป้าจึงนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือส่งเสริมศักยภาพในด้านการส่งออกของไทยในตลาดญี่ปุ่นให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม แต่ภายใต้ความตกลงเจเทปป้า ยังคงมีสินค้าบางรายการที่ไม่สามารถหาข้อสรุปในการเปิดตลาดระหว่างกันได้
ดังนั้น การที่ญี่ปุ่นยังคงให้สิทธิจีเอสพีแก่ไทย โดยให้สิทธิพิเศษฯ เฉพาะสินค้าที่อยู่ในบัญชีรายการสินค้าทั้ง 102 รายการ ที่ได้รับประโยชน์มากกว่าประโยชน์ที่ผู้ส่งออกของไทยได้รับจากความตกลงเจเทปป้า โดยแบ่งเป็นสินค้า 2 กลุ่ม คือ สินค้าจำนวน 80 รายการ เป็นสินค้าต้องนำกลับมาหารือกันใหม่หรือเป็นสินค้าที่ยกออกจากการเจรจาฯ อาทิ สินค้าในพิกัดฯ 3505.20-000 (กาว) พิกัดฯ 4303.10-019 (เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยหนังสัตว์อื่น ๆ ) พิกัดฯ 4412.99-110 (แผ่นไม้อัดที่ได้จากเศษไม้ฯ) เป็นต้น ส่วนกลุ่ม 2 สินค้าจำนวน 22 รายการ ที่มีอัตราภาษีภายใต้ระบบ GSP ต่ำกว่าอัตราภาษีภายใต้ความตกลง JTEPA อาทิ สินค้าในพิกัดฯ 3901.10-020 (โพลิเอทิลีนผงฯ), พิกัดฯ 3903.90-010 (โพลิเมอร์ของสไตรีน ขั้นปฐมอื่นๆ ) พิกัดฯ 6405.10-300 ( รองเท้าอื่นๆ ที่ทำด้วยหนังฟอก) เป็นต้น
