ปรากฏการณ์ “ฝนตกแช่” หรือ “ฝนแช่”(Stagnant Rainfall) ที่ตกอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มีช่วงให้ระดับน้ำได้ลดลงครั้งประวัติศาสตร์ในบ้านเรา ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ต่อเนื่องหลายวันถัดมา ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมหนักสุดในรอบ 300 ปี
สถานการณ์น้ำท่วมหนักที่ภาคใต้ตอนล่างครั้งนี้ แม้รัฐบาลจะดูอ่อนด้อยต่อการรับมือและการบริหารจัดการ แถมนักการเมืองหลายต่อหลายคนยังฉวยโอกาสในช่วงใกล้เลือกตั้งใช้สถานการณ์ความเดือดร้อนของชาวบ้านมาเล่นเกมการเมือง สร้างภาพ ปั่นกระแสกันอย่างน่ารังเกียจ (จนถูกด่ากระจายบนโลกโซเชียล)
แต่ถึงกระนั้นพลังธารน้ำใจของคนไทยที่ไม่เคยทิ้งกันในยามทุกข์ยาก ต่างพากันบริจาคเงิน อาหาร สิ่งของ อุปกรณ์ ฯลฯ รวมถึงการเสียสละแรงกายจากบรรดาเหล่า จิตอาสา มูลนิธิ ศิลปิน อินฟลู องค์กร หน่วยงาน และแทบทุกภาคส่วน ที่ต่างร่วมด้วยช่วยกันช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยอย่างแข็งขันไม่ย่อท้อ (เหมือนเช่นที่ผ่าน ๆ มา) รวมไปถึง “ทหาร” ที่ยังคงเป็นทีมงานชุดแรก ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนหลังเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่
สำหรับทหารเรือนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กองทัพเรือได้ส่ง “เรือหลวงจักรีนฤเบศร” ไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 กำลังพลเรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้ดำเนินการเร่งลำเลียงสิ่งของที่จะนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับสิ่งของบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปอาทิ ถุงยังชีพ น้ำดื่ม ข้าวสาร และวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร เป็นต้น
จากนั้นในเวลา 23.00 น. ของวันเดียวกัน เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เดินทางออกจากท่าเรือ มุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ในทันที
ในภารกิจครั้งนี้เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้ถูกปรับให้เป็น “ฐานบัญชาการเคลื่อนที่กลางน้ำ” ที่พร้อมปฏิบัติการรอบด้าน ทั้งลำเลียงผู้ประสบภัย ดูแลรักษาพยาบาล ส่งกำลังบำรุง และสนับสนุนทางอากาศตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นครัวลอยน้ำที่สามารถผลิตอาหารปรุงสุกได้วันละประมาณ 3,000 ชุด เพื่อสนับสนุนการส่งทางอากาศสู่พื้นที่ประสบภัย โดยมีการเตรียมทีมแพทย์ไปกับเรือด้วยเพื่อทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำได้เมื่อมีความจำเป็น
สำหรับเรือหลวงจักรีนฤเบศร (ร.ล.จักรีนฤเบศร) เริ่มต่อขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 ที่อู่ต่อเรือบาซาน เมืองโรตา ประเทศสเปน มีการวางกระดูกงูในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 และทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2539 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จไปทำพิธี
จากนั้นได้มีการรับมอบและขึ้นระวางประจำการในเมืองไทยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 โดยมี พลเรือเอก วิจิตร ชำนาญการณ์ เป็นผู้รับมอบ
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้รับพระราชทานชื่อจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ หมายถึง “ผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์จักรี” เรือลำนี้มีทั้งหมด 11 ชั้น มีความยาว 182 เมตร กว้าง 30.5 เมตร
เรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองไทย สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ได้หลากหลายรุ่น ทั้งยังมีลานบินและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์ เหมาะสมกับการปฏิบัติการในพื้นที่ห่างไกลและในทะเลที่มีสภาพอากาศยากลำบาก
ในยามปกติเรือหลวงจักรีนฤเบศรจะเป็นฐานปฏิบัติการคุ้มครองประโยชน์ของชาติทางทะเล ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล
รวมถึงมีบทบาทเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชลบุรี โดยจอดเทียบท่าอยู่ที่ ท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ดฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเปิดให้ประชาชนขึ้นชมฟรีทุกวันอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เวลา 09.00–17.00 น.
ภายในเรือจัดแสดงภารกิจประจำเรือ เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ประจำการ พร้อมนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทหารเรือไทย และไฮไลต์คือการขึ้นชมดาดฟ้าเรือที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสัตหีบได้อย่างสวย
งามกว้างไกลในแบบพาโนรามา
นอกจากนี้ในวันเด็กแห่งชาติ เรือหลวงจักรีนฤเบศรยังมีการเปิดเรือ จัดแสดงโชว์สาธิตทางการทหารอันน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลต์ของสถานที่จัดงานวันเด็กในบ้านเรา
ส่วนในยามสงคราม เรือหลวงจักรีนฤเบศรจะเป็นเรือธง คือเรือที่ทำหน้าที่ควบคุมและบังคับบัญชากองเรือในทะเล ทั้งควบคุมการปฏิบัติงานป้องกันภัยทางอากาศ การต่อสู้ทางน้ำ และปราบเรือดำน้ำของผู้ที่เข้ามารุกรานประเทศ
ขณะที่ในยามประเทศเกิดภัยพิบัติ เรือหลวงจักรีนฤเบศรถือเป็นส่วนสำคัญในปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนของกองทัพเรือ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติที่ต้องการการตอบสนองรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้าง
สำหรับเหตุการณ์สำคัญด้านภัยพิบัติที่เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้ออกปฏิบัติภารกิจนับตั้งแต่มาประจำการในบ้านเรานั้นก็ได้แก่
-พายุไต้ฝุ่นซีตาห์ (พ.ศ. 2540) หลังเข้าประจำการได้เพียง 4 เดือน เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้ถูกส่งเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยและเริ่มทำการช่วยเหลือประชาชนด้วยการส่งเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือนำอาหารและน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ติดอยู่ตามตำบลที่ต่าง ๆ
-พายุไต้ฝุ่นลินดา (พ.ศ. 2540) เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้ออกเรือเพื่อให้การช่วยเหลือเรือประมงในทะเลที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นลินดา โดยลาดตระเวนจากสัตหีบไปยังเกาะกูด จังหวัดตราด จนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
-น้ำท่วมจังหวัดสงขลา (พ.ศ. 2543) เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้ส่งเฮลิคอปเตอร์และชุดปฏิบัติการพิเศษพร้อมเรือยางลำเลียงอาหารและสิ่งของจำเป็นมอบแก่ผู้ประสบภัย
-ภัยพิบัติสึนามิ (พ.ศ. 2547) กองเรือยุทธการได้จัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล โดยมีกำลังพลรวมทั้งสิ้น 760 นาย ซึ่งประกอบด้วยเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงนเรศวร และชุดแพทย์เคลื่อนที่ โดยมีภารกิจหลักคือค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้การรักษาพยาบาลบริเวณเกาะต่าง ๆ และพื้นที่ทะเลด้านใต้ของประเทศไทย
-เหตุการณ์อุทกภัยภาคใต้ในปี พ.ศ. 2553 เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เดินทางออกจากฐานทัพเรือสัตหีบ เดินทางถึงจังหวัดสงขลา โดยทอดสมอที่เกาะหนู เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
-เหตุการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ เกาะเต่า เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (พ.ศ.2554) กองทัพเรือได้จัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างบนเกาะเต่า โดยลำเลียงผู้ประสบภัยจำนวนทั้งสิ้น 743 คน เดินทางมายังท่าเทียบเรือจุกเสม็ด
-ภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนปาบึก (พ.ศ. 2562) กองทัพเรือได้ส่งเรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นฐานบัญชาการลอยน้ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย
และล่าสุดกับเหตุการณ์ภัยพิบัติอุทกภัยจากฝนตกแช่ในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง (พ.ย. 2568) กองทัพเรือได้ส่งเรือหลวงจักรีนฤเบศรไปปฏิบัติภารกิจที่ภาคใต้ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
สำหรับเรือหลวงจักรีนฤเบศรแล้ว ในยามเกิดศึกสงครามหรือยามมีภัยพิบัติจะมีภารกิจหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่ในยามปกติเรือหลวงลำนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดีที่ใครไปเยือนสัตหีบไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


