วัดเขาอ้อ เป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณในแดนใต้ ชวนมารู้จักประวัติความเป็นมาของศาสนสถานแห่งนี้
วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่ในตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1651 หรือ กว่า 900 ปีมาแล้ว จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งทางวัดได้เก็บรักษาไว้ คือ "สานส์ตราของเจ้าพระยาเมืองนครศรีธรรมราช" ที่มีมาถึงพระยาแก้วโกรพพิชัยบดินทร์สุรินทรเดชอภัยพิริยะพาหะ เจ้าเมืองพัทลุง ลงวันเสาร์ เดือน 9 ขึ้น 8 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1103 ตรงกับ พ.ศ. 2284 (สมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา)
ในด้านความเชื่อไสยศาสตร์ มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ของเมืองพัทลุงที่ได้กล่าวถึงความสำคัญของวัดเขาอ้อ หรือสำนักเขาอ้อที่เกี่ยวกับวิชาไสยศาสตร์ความว่า เมื่อปี พ.ศ.2328 ครั้งที่พม่ายกทัพมาตีเมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช ได้เป็นผลสำเร็จแล้วยกทัพตีมาเรื่อยพระยาพัทลุง (ขุน) กับพระมหาช่วย วัดป่าเลไลย์ ชาวบ้านน้ำเลือด ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์วัดเขาอ้อมีความรู้เชี่ยวชาญในทางไสยเวทย์ได้ลงตะกรุด ผ้าประเจียดให้แก่ไพร่พลแล้วแต่งเป็นกองทัพยกไปคอยรับทัพพม่าอยู่ที่ตำบลท่าเสียด
ครั้นทัพพม่ายกกำลังมาถึงเห็นกองทัพไทยจากพัทลุงมีกำลังมากกว่าตนแต่ที่แท้จริงมีกำลังน้อยกว่ากองทัพพม่าหลายเท่า แต่ด้วยอำนาจพระเวทย์มนต์ตราและคาถาที่พระมหาช่วยนั่งบริกรรมภาวนาอยู่เบื้องหลัง ทำการผูกหุ่นพยนต์ขึ้นเป็นทหารสูงใหญ่ให้ข้าศึกมองเห็นเป็นคนจำนวนมากและมีกำลังร่างกายสูงใหญ่ ดุดันผิดปกติกองทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป
วัดเขาอ้อแต่เดิมเรียกว่าวัด "ประดู่หอม" ได้เปลี่ยนนามมาเป็น "วัดเขาอ้อ" ในสมัยพระครูสังฆวิจารณ์ฉัตรทันต์บรรพต เป็นเจ้าอาวาส นับได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดวัดหนึ่งในจังหวัดพัทลุง โดยตั้งอยู่ที่ริมทางรถไฟก่อนที่จะถึงสถานีรถไฟปากคลองเพียง 2 กิโลเมตรขึ้นอยู่ในเขตตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน วัดเขาอ้อเป็นวัดสำคัญและมีบทบาทวัดหนึ่งในสมัยอยุธยาแต่สมัยต่อมาขาดการดูแลจนกลายเป็นวัดร้าง
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2284 พระมหาอินทราชซึ่งเดินทางมาจากเมืองปัตตานีมาเป็นเจ้าอาวาสได้บูรณะปฎิสังขรณ์สิ่งปรักหักพังต่าง ๆ ที่มี เช่น พระพุทธรูปในถ้ำ 10 องค์ ตลอดถึงพระอุโบสถและเสนาสนะอื่น ๆ หลังจากนั้นพระมหาอินทราชได้มีหนังสือไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระราชการกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด 1 องค์ พระพุทธรูปหล่อด้วยเงิน 1 องค์ ให้แก่วัดเขาอ้อ ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปทั้งสอง ว่ารูปเจ้าฟ้าอิ่มและรูปเจ้าดอกมะเดื่อ
ต่อมาเมื่อท่านพระมหาอินทราชได้ออกจากวัดไปทำให้วัดก็มีสภาพเสื่อมโทรมอีกครั้ง ท่านปะขาวขุนแก้วเสนา และขุนศรีสมบัติพร้อมด้วยบรรดาชาวบ้านใกล้เคียง ได้ไปนิมนต์พระมหาคง จากวัดพนางตุงมาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาวัดก็ค่อย ๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆ
วัดเขาอ้อมีเจ้าอาวาสปกครองต่อกันมากมายหลายสิบรูป ล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ มีชื่อเสียงโดงดังไปทั่วภาคใต้ ชาวพัทลุงและใกล้เคียงเชื่อกันว่าเป็นวัดเขาอ้อมีความศักดิ์สิทธิ์และชื่อเสียงทางด้านไสยศาสตร์มาตั้งแต่โบราณกาล
ตำนานกล่าวว่าก่อนที่จะมาเป็นวัดเขาอ้อเป็นสำนักเขาอ้อมาก่อนเล่ากันว่าจุดกำเนิดของสำนักเขาอ้อนี้ แต่เดิมเป็นที่บำเพ็ญพรตของพราหมณ์มาหลายรุ่น อันเนื่องจากภายในถ้ำบนเขาอ้อนั้นเป็นทำเลที่ดีมาก ตัวเขาอ้อเองก็ตั้งอยู่บนเส้นทางสัญจรของชุมชนในอดีตเมืองที่เจริญในละแวกนั้นได้แก่ สทิงปุระ หรือสะทิงพาราณสีซึ่งก็คืออำเภอสทิงพระในปัจจุบัน
ประวัติของเมืองสทิงปุระนั้นเกี่ยวข้องกับพราหมณ์อยู่มาก แม้กระทั่งในสมัยศรีวิชัยที่ศาสนาพุทธแผ่อิทธิพลทั่วแหลมาลายู ในบริเวณสว่นนั้น (เขตเมืองพัทลุงในปัจจุบัน) ยังเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของพราหมณ์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกว่าเป็นเมืองที่มีชุมชนหนาแน่นที่สุดในขณะนั้น
ต่อมามีพราหมณ์ผู้ทรงวิทยาคุณ (ฤาษี) คณะหนึ่งได้ไปบำเพ็ญพรตอยู่ที่ถ้ำบนเขาอ้อบำเพ็ญพรตจนเกิดอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามตำราอาถรรพเวท (พระเวทอันดับ 4 ของคัมภีร์พราหมณ์) แล้วได้ถ่ายทอดวิชานั้นต่อ ๆ กันมา พร้อมกันนั้นก็ได้จัดตั้งสำนักถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้สนใจ ซึ่งตามวรรณะแล้วพราหมณ์มีหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เชื้อพระวงศ์ หรือวรรณะกษัตริย์และลูกหลานผู้นำ เพื่อจะให้นำไปเป็นความรู้ในการปกครองคนต่อไป
สำนักเขาอ้อสมัยนั้นจึงมีฐานะคล้าย ๆ สำนักทิศาปาโมกข์ของพราหมณ์ผู้ทรงคุณพราหมณ์ผู้ทรงคุณดังกล่าวได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้พราหมณาจารย์สืบทอดต่อ ๆ กันมาซึ่งเท่าที่สืบค้นรากฐาน ก็พบว่าวิชาที่ถ่ายทอดให้คณาศิษย์นอกจากวิชาในเรื่องการปกครองตามตำราธรรมศาตร์แล้ว ก็ยังมีเรื่องพิธีกรรมฤกษ์ยามการจัดทัพตามตำราพิชัยสงคราม ตลอดจนไปถึงไสยเวท และการแพทย์ตามตำนานบอกวิชาสองสายสืบทอดโดยพราหมณาจารย์ผู้เฒ่าสองคน ซึ่งสืบทอดกันคนละสายตลอดมา
การสืบทอดวิชาของสำนักเขาอ้อได้ดำเนินเช่นนั้นไป จนกระทั้งมาถึงพราหมณ์รุ่นสุดท้ายและได้เห็นว่าไม่มีผู้รับสืบทอดต่อแล้ว ประกอบกับเล็งเห็นว่าเมื่อสิ้นท่านแล้วสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทหลายคนได้ฝังร่างไว้ที่นั้น สถานที่นั้นจึงสำคัญเกินที่จะปล่อยให้รกร้างไปได้พราหมณ์ผู้เฒ่าท่านนั้นจึงได้เล็งหาผู้ที่จะมาสืบทอด และรักษาสถานที่สำคัญนั้นไว้ ประกอบกับขณะนั้นอิทธิพลทางพุทธศาสนาได้แผ่เข้ารายล้อมเขตเมืองพัทลุงแล้วบริเวณข้าง ๆ ในบริเวณเขาอ้อก็มีวัดอยู่หลายวัด มหาพราหมณ์ทั้งสองท่านเล็งเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าพุทธศาสนาจะยั่งยืนและแผ่อิทธิพลในดินแดนแถบนี้ การที่จะฝากอะไรไว้กับผู้ที่ยั่งยืนและมีอิทธิพลน่าจะเป็นการดีกว่า
ท่านเลยตัดสินใจนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่งมาจากวัดน้ำเลี้ยวให้มาอยู่ในถ้ำแทนท่านจากนั้นก็มอบคำภีร์พระเวทศักดิ์สิทธิ์ ของบูรพาจารย์พราหมณ์พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาทางไสยเวทให้ รวมทั้งวิชาทางการแพทย์แผนโบราณแก่ท่านพระภิกษุรูปแรก ที่พราหมณ์ผู้เฒ่านิมนต์มามีนามว่า "ทอง" (วัดเขาอ้อมีลักษณะพิเศษที่มักจะมีเจ้าอาวาสที่ชื่อทองติดต่อกันมาหลายสิบรูป) ซึ่งต่อมาเจ้าอาวาสของวัดเขาอ้อทุกรูป ก็จะได้รับการถ่ายทอดวิชาตามคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของบูรพาจารย์พราหมณ์สืบต่อกันมา ทำให้เป็นผู้ทรงคุณวิเศษในด้านไสยเวทวิทยาคมเป็นที่ประจักษ์มาทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุผลดังกล่าววัดเขาอ้อจึงมีชื่อเสียงในทางไสยเวทและการแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับว่าน ภายหลังจึงมีพิธีแช่ว่าน พิธีกรรมทางไสยเวทหลายอย่างขึ้นที่นั่นจนลือเลื่องไป
วัดเขาอ้อเป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่าหรือพระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พระครูพิพัฒน์สิริธร (อาจารย์คง) วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช
ภาพและข้อมูลเรียบเรียงจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพัทลุง , องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline