“ลิโอเนล เมสซี” นักเตะเบอร์หนึ่งของโลกกับครอบครัว ท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย เยี่ยมชมดิรอียะฮ์ เมืองมรดกโลกอายุ 300 ปี ดื่มด่ำอาหารเลิศรสที่ร้านอาหารสุดหรู เพลิดเพลินในเวีย ริยาด ย่านการค้าและความบันเทิงสุดหรูแห่งใหม่
“ลิโอเนล เมสซี” (Lionel Messi) นักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกแห่งยุค ในฐานะทูตการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบีย ได้กลับมาเยือนซาอุดีอาระเบียเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งนี้เขาได้พาครอบครัวมาร่วมสัมผัสการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเก่ากับใหม่ รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นกับความเป็นสากล การมาเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้เมสซีได้ทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากมายที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว
ซาอุดีอาระเบียคือบ้านที่แท้จริงของอาหรับ ดังนั้นไฮไลต์ของทริปนี้คือการทัวร์เมืองมรดกโลก “ดิรอียะฮ์” (Diriyah) ซึ่งเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีอายุเก่าแก่ถึง 300 ปี อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในหกแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก และต้นกำเนิดรัฐซาอุดีอาระเบียแห่งแรก
นอกจากนี้ เขตอัตตูราอิฟ (At-Turaif) ในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ยังเป็นหนึ่งในการตั้งถิ่นฐานด้วยอิฐโคลนที่มีสถาปัตยกรรมน่าประทับใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในโลก โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงศตวรรษที่ 15
ทั้งนี้เมสซีและครอบครัวได้ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์ของจุดหมายปลายทางที่ไม่เหมือนใครแห่งนี้ จากนั้นได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ “ม้าอาหรับ” (Arabian Horse Museum) หลังจากเล่นกับม้าอาหรับพันธุ์แท้ที่มีความสวยสง่า
นอกจากนี้ เมสซียังได้ตื่นเต้นกับนกเหยี่ยวสีขาวที่มาเกาะบนแขนของเขา โดยนกเหยี่ยวเป็นนกล่าเหยื่อที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก และเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ชาวเบดูอิน (Bedouin) มาเป็นเวลานานหลายพันปี
สำหรับการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ “อันโตเนลลา รอกกุซโซ” (Antonella Roccuzzo) ภรรยาของเมสซี ได้สวมใส่ “ฮามา” (hama) ซึ่งเป็นเครื่องประดับศีรษะที่สตรีชาวซาอุดีอาระเบียในแคว้นนัจญ์ดี (Najdi) สวมใส่ในอดีต
โดยทั้งครอบครัวมีความสุขกับการสำรวจประวัติศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของซาอุดีอาระเบีย และหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ในอัตตูราอิฟ รวมถึงความสง่างามของม้าอาหรับ
ขณะที่ก่อนที่จะมาเยือนเมืองดิรอียะฮ์ ครอบครัวเมสซีได้ชมสวนแบบซาอุดีอาระเบียแท้ ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมือง ทั้งครอบครัวได้ชมการสานใบปาล์มโดยมีฉากหลังเป็นต้นปาล์มสูงตระหง่าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองในซาอุดีอาระเบีย โดยต้นปาล์มในประเทศผลิตอินทผลัมมากกว่า 1.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารซาอุดีอาระเบีย
สำหรับหนึ่งในไฮไลต์ของการท่องเที่ยววันแรกคือการให้อาหาร “ละมั่งอาหรับ” สัตว์พื้นเมืองที่เคยเกือบสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ครั้งใหญ่ ส่งผลให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ โดยเมื่อต้นปีนี้ได้มีการปล่อยละมั่งอาหรับ 650 ตัว และเนื้อทราย 550 ตัว ในพื้นที่ 12,400 ตารางกิโลเมตรของเขตอนุรักษ์อัลอูลา (AlUla) ซึ่งก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการนำเสือดาวอาหรับกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ในวันที่สองของการท่องเที่ยว เมสซีและครอบครัวได้สัมผัสกับมหานครอันทันสมัยอย่าง “กรุงริยาด” ซึ่งกำลังมีแผนเพื่อก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีชีวิตชีวาและคึกคักที่สุดในโลกภายในปี 2573
กรุงริยาดมีประชากรราว 8 ล้านคน และเป็นหนึ่งใน 50 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกจากการรายงานของอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit) ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางในอุดมคติที่ทุกครอบครัวสามารถสำรวจและเพลิดเพลินกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่
กรุงริยาดถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายที่ยังรอการสำรวจ โดยสามารถสะกดทุกคนด้วยแสงสีในเมือง เทศกาลดนตรี และอาหารหลากหลายตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงร้านอาหารมิชลินสตาร์
สำหรับทริปนี้ตารางการท่องเที่ยวที่อัดแน่นทำให้เมสซีและครอบครัวได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันอย่างเต็มที่ รวมถึงการดื่มด่ำกับภาพและเสียงอันน่าตื่นตาตื่นใจในเวีย ริยาด (VIA Riyadh) และ บูเลอวาร์ด ริยาด ซิตี (Boulevard Riyadh City) สองย่านการค้าและความบันเทิงสุดทันสมัย
โดยเวีย ริยาด จะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหรูหราระดับพรีเมียมของโลก ซึ่งเพียบพร้อมด้วยแบรนด์แฟชั่นหรู ร้านอาหารนานาชาติและร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง และโรงภาพยนตร์ส่วนตัว 7 แห่ง
นอกจากนี้ แสงสีสว่างไสวของบูเลอวาร์ด ริยาด ซิตี ยังทำให้ย่านนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัวในช่วงริยาด ซีซัน (Riyadh Season) เทศกาลความบันเทิงกลางแจ้งที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของกรุงริยาด ซึ่งให้การต้อนรับผู้มาเยือนมากกว่า 15 ล้านคนในปีนี้
ที่ผ่านมาซาอุดีอาระเบียเป็นที่รู้จักจากทะเลทรายรุบอ์ อัลคอลี (Rub' Al Khali) อันน่าเกรงขาม แต่อันที่จริงแล้วซาอุดีอาระเบียยังมีภูมิประเทศแบบอื่น ๆ ที่สามารถเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งปี ตั้งแต่โอเอซิสอัล อะฮ์ซา (Al-Ahsa) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก ไปจนถึงแนวปะการังสวยงามบริสุทธิ์ตามแนวชายฝั่งทะเลแดงที่ทอดยาว 1,700 กิโลเมตร ซึ่งนักดำน้ำและเรือเดินสมุทรสามารถเพลิดเพลินได้ และโรงแรมหรูแห่งแรกจากทั้งหมด 16 แห่งจะเปิดให้บริการในปลายปีนี้
นอกจากนั้นยังมีเกาะซินดะละฮ์ (Sindalah) ในเมืองใหม่นิอุม (NEOM) ยิ่งไปกว่านั้น ซาอุดีอาระเบียยังมีที่ราบสูงเขียวชอุ่มเย็นสบายบนเทือกเขาอาเซอร์ (Asir) ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของคนในท้องถิ่นช่วงฤดูร้อน
ขณะที่การต้อนรับอันอบอุ่นของซาอุดีอาระเบียที่เรียกกันว่าฮาฟาวา (Hafawa) ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกครอบครัว
สำหรับการเดินทางมาเยือนซาอุดีอาระเบียวันนี้ เป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคยเนื่องจากมีเที่ยวบินจากหลายประเทศที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถขอวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ (eVisa) ผ่านทางออนไลน์ได้อย่างง่ายดายสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 49 ประเทศทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียได้เปิดตัววีซ่าสำหรับแวะพัก (Stopover Visa) เมื่อต้นปีนี้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางกับสายการบินซาอุเดีย (SAUDIA) และฟลายนาส (FlyNas) พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ มากกว่า eVisa และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวแวะพักอยู่ในประเทศได้นานสูงสุดถึง 96 ชั่วโมง
ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์ในซาอุดีอาระเบียได้ที่ visitsaudi.com/en และ @AskVisitSaudi