xs
xsm
sm
md
lg

ห้ามพลาด! 10 ที่เที่ยว “ระยอง” ต้องไปเช็คอิน รับจังหวัดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เช็คอินระยอง จังหวัดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวแห่งล่าสุด
ช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นบ้าง การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเริ่มจะผ่อนคลายมากขึ้น อย่างล่าสุดนี้ก็จะยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศแบบ Test&Go เปลี่ยนไปเป็นการตรวจ ATK แทน เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น

ส่วนในประเทศ ก็มีการเพิ่มพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว หรือพื้นที่สีฟ้า อีก 2 จังหวัด ได้แก่ สงขลา และ ระยอง ทำให้ตอนนี้มีพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวทั้งหมด 12 จังหวัด (กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง และสงขลา)

สำหรับหนึ่งในจังหวัดพื้นที่สีฟ้าน้องใหม่ในครั้งนี้คือ “ระยอง” ก็เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย เดินทางไปได้แบบสะดวกสบาย

ใครที่จะไปเที่ยวระยอง ลองมาดูกันว่า 10 ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดไปเช็คอินนั้นมีที่ไหนบ้าง

เขาแหลมหญ้า

เขาแหลมหญ้า
“เขาแหลมหญ้า”
“เขาแหลมหญ้า” อยู่ในพื้นที่ของ “อุทยานแห่งชาติเขาเเหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด” จากตัวเมืองระยองเลาะเลียบผ่านหาดแม่รำพึงใช้เวลาขับรถไม่เกิน 30 นาที ก็มาถึงเขาแหลมหญ้าแล้ว เข้ามาถึงแล้วจะต้องจอดรถที่ลานจอดรถด้านนอก และนั่งรถของทางอุทยานฯ เข้ามาด้านใน

จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันก็คือถนนที่ยื่นลงไปในทะเล ที่สุดปลายถนนเป็นศาลาไลฟ์การ์ดเล็กๆ สีขาวสะอาดตาตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเล ถือเป็นแลนด์มาร์กของเขาแหลมหญ้าก็ว่าได้ ใครๆ ก็มักจะมาถ่ายรูปกันตรงนี้ ยิ่งช่วงเย็นๆ ก็ยิ่งได้บรรยากาศแดดร่มลมตกที่โรแมนติกไม่น้อย

และยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ที่มีการทำสะพานไม้ไว้ให้เดินอย่างสะดวกสบาย จุดกึ่งกลางของเส้นทางคือบริเวณที่เรียกว่า “หัวเขาแหลมหญ้า” บริเวณนี้จะเป็นปลายแหลมที่โล่งกว้าง เป็นเนินทุ่งหญ้าสลับกับหิน ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเนื่องจากบริเวณเป็นปลายแหลมที่มีลมพัดแรงตลอดเวลา ต้นไม้ใหญ่ทานกระแสลมไม่ได้จึงมีเพียงทุ่งหญ้าขึ้นเป็นบริเวณกว้างจนเป็นที่มาของชื่อ “เขาแหลมหญ้า”

ทุ่งโปรงทอง

ทุ่งโปรงทอง
“ทุ่งโปรงทอง”
“ทุ่งโปรงทอง” ตั้งอยู่บริเวณปากน้ำประแส ทางเดินเข้าไปชมจะเป็นสะพานไม้ยาวเข้าไปด้านใน จากนั้นก็จะได้เห็นเสน่ห์ของใบต้นโปรงที่มีสีเขียวอมหลืองสดใส เมื่ออยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจึงทำให้ท้องทุ่งแห่งนี้กลายเป็นสีทองสว่างไสว ยิ่งถ้าอยู่กลางแสงแดดแล้วก็จะยิ่งเพิ่มความงามขึ้นอีก สมกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งโปรงทอง เดินชมความงามพร้อมกับถ่ายรูปสวยๆ ไปได้เรื่อยๆ

ทางชุมชนปากน้ำประแสได้ทำสะพานไม้ไว้ให้เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน สะพานนี้มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ทอดผ่านป่าชายเลน ทุ่งโปรงทอง และยาวต่อไปจนถึงชายทะเล ที่จะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติไปตลอดเส้นทาง ยิ่งช่วงปลายของเส้นทางเดินก่อนจะถึงทะเลประแส เป็นช่วงที่สามารถเดินได้แบบโปร่งโล่งสบาย มีลมพัดมาคลายร้อนตลอดเวลา สามารถเดินไปชมริมทะเลด้านนอกได้

ถนนยมจินดา

ถนนยมจินดา
“ถนนยมจินดา”
ย่านเก่าแก่ในตัวเมืองระยอง ถนนแห่งนี้ถือเป็นถนนเก่าแก่ที่ทอดตัวยาวขนานไปกับแม่น้ำระยอง ในสมัยนั้นชาวบ้านจะใช้แม่น้ำระยอง เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมและขนส่งสินค้าลงเรือสำเภา เพื่อไปส่งยังหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งลำเลียงเข้าสู่กรุงเทพฯ อีกด้วย ต่อมาพระศรีสมุทรโภค (อิ่ม ยมจินดา) เจ้าเมืองระยองคนสุดท้ายได้ริเริ่มให้มีการตัดถนนขึ้นกลางเมือง อันเป็นเส้นทางคมนาคมสายแรก พร้อมกับขนานนามว่า “ถนนยมจินดา” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาถนนยมจินดาจึงกลายเป็นศูนย์กลางเมืองระยอง ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนชุมชนบ้านไม้ และยังเป็นย่านการค้าที่มีทั้งตลาดสด โรงหนัง ธนาคาร เป็นแหล่งการค้าและเศรษฐกิจแห่งแรกของเมืองระยอง ถือเป็นต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ของเมืองระยองมาอย่างยาวนาน

บนถนนสายเก่าแห่งนี้ นอกจากจะได้เดินชมอาคารบ้านเรือนโบราณแล้ว ยังมีร้านอาหารให้เราได้มาแวะนั่งพักผ่อนคลาย และลิ้มรสกับอาหารเพื่อเติมพลังให้ร่างกาย ได้มีแรงได้เดินเยี่ยมชมกันต่อ หรือจะเลือกนั่งชิลร้านกาแฟ เลือกเครื่องดื่มที่มีขายทั้งเครื่องดื่มร้อน และเครื่องดื่มเย็นมาจิบให้ชื่นใจคลายเหนื่อย

พระพุทธรูปนอนตะแคงซ้าย วัดป่าประดู่

วัดป่าประดู่
“วัดป่าประดู่”
อยู่ในเมืองระยองบนถนนสุขุมวิท เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองระยอง สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา สิ่งที่โดดเด่นที่อยู่ภายในวัดป่าประดู่แห่งนี้คือ มี "พระพุทธรูปนอนตะแคงซ้าย" ที่เก่าแก่ เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่แปลกที่สุดในประเทศไทย

ภายในวัดมีอุโบสกหลังเก่า เดิมพระครูสมุทสมานคุณ (แอ่ว) และชาวบ้าน ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2449 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ด้านหน้าโบสถ์ต่อเป็นหลังคามีเสารองรับ ซึ่งเป็นลักษณะศิลปกรรมที่นิยมในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หลังคาซ้อนสองชั้น ประดับช่อฟ้า ใบระกา โดยสิ่งที่น่าสนใจคือโบสถ์แห่งนี้ได้รับอิทธิพลศิลปะจีน เช่น ที่หน้าบันด้านหน้าหรือด้านทิศตะวันออก ปั้นปูนเป็นรูปพระพุทธเจ้าผุดขึ้นเหนือดอกบัวกลางสระ มีนกกระสากำลังจิกกบเขียดอยู่ในสระ ส่วน ด้านหลังโบสถ์ปั้นปูนเป็นลายพรรณพฤกษา ยกช่อดอกไม้เป็นกลีบ ลอยเด่นออกมาจากผนัง มีสิงโตกำลังเล่นลูกแก้วขนาบข้างละตัว นอกจากนี้กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่มีหน้าบันสวยที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย

วัดราชบัลลังก์

พระพุทธรูปเก่าแก่ วัดราชบัลลังก์
“วัดราชบัลลังก์ประดิษฐาวราราม”
หรือ “วัดราชบัลลังก์” ช่วงแรกสร้างมีชื่อว่า “วัดเนินสระ” อาจเป็นเพราะตั้งชื่อตามสภาพพื้นที่ คือมีสระน้ำสำหรับชาวบ้านใช้อุปโภคบริโภคอยู่ชายเนิน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดทะเลน้อย” ตามชื่อหมู่บ้าน เพราะบริเวณนี้กล่าวกันว่า เดิมเป็นทะเล แต่มาตื้นเขินเป็นพื้นดิน หากขุดลึกลงไปสักเล็กน้อย จะพบซากเปลือกหอยมากมายในทุกพื้นที่ ถึงหน้าฝนน้ำขังจึงใช้ทำนาได้ ในอดีตหน้าแล้ง บางปี น้ำทะเลหนุนเออขึ้นมาท่วมทุ่ง มองดูแล้วคล้ายทะเลน้อย ๆ จึงมีชื่อเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านทะเลน้อย” ปัจจุบันก็ยังกันดารน้ำจืดอยู่ ชาวบ้านต้องอาศัยเก็บน้ำฝนไว้บริโภค เพราะน้ำในบ่อที่ขุดไว้ใช้มีรสกร่อย ใช้ดื่มกินไม่ได้

ภายในมีอุโบสถเก่าแก่อายุประมาณ 300 ปี ผนังก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 10.70 เมตร ซุ้มประตูหน้าต่างตกแต่งด้วยลายดอกไม้ ผลงานสถาปัตยกรรมกึ่งไทยกึ่งจีนที่วิจิตรงดงาม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ (หลวงพ่อโครงหวาย) ซึ่งทำด้วยโครงหวายฉาบปูน นอกจากนี้ยังมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน และโบราณสถานโบราณวัตถุที่สำคัญมากมาย เช่น เจดีย์ บัลลังก์ มีดดาบ เขาควาย เป็นต้น

อุโบสถหลังเก่า วัดโขด (ทิมธาราม)

ภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นบ้าน
“วัดโขด (ทิมธาราม)”
กล่าวกันว่าที่ได้ชื่อเช่นนี้ เพราะพระยาระยองผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นมีนามเดิมหรือนามจริงว่า "ทิม" เป็นผู้สร้างวัดนี้ แต่ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วัดโขด" อันเนื่องมาจากวัดนี้มีที่มาจากที่ตั้งอยู่บนโขดทรายติดกับแม่น้ำระยอง

สำหรับอุโบสถหลังเก่ามีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาเครื่องไม้หน้าบันปูนปั้นลวดลายเครือเถาประดับด้วยตุ๊กตาเคลือบรูปสัตว์ อิทธิพลศิลปะจีน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน ปางมารวิชัย มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นบ้าน แต่สภาพชำรุดลางเลือนมาก แสดงภาพทศชาติชาดก ภาพกินรี และภาพวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น เจดีย์มุมลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง

ส่วนภายในอุโบสถหลังใหม่ยังเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อขาว พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิ มีพระพุทธรูปสาวกนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่สองข้างองค์หลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อขาวองค์นี้คาดว่ามีอายุกว่า 500 ปี อันเป็นที่เคารพสักการบูชาของชาวระยอง

พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง

พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง
“พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง”
ที่นี่จัดแสดงของสะสมกว่าหมื่นชิ้น ของครูกัง-บุญเกียรติ บุญช่วยเหลือ ที่สะสมของมา 40 กว่าปี เก็บชิ้นแรกปี 2517ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ กว่า 20 ห้อง อาทิ ห้องกระปุกออมสิน, ห้องเรียนคุณธรรม, เรือนสบาย, ห้องภูมิปัญญา รวมเครื่องมือช่างสารพัดชนิด, ร้านซาลอนจอมใจและร้านบาเบอร์ไทยเจริญ โดดเด่นด้วยเก้าอี้นั่งโบราณและอุปกรณ์ตัดแต่งทรงผม ที่ทุกชิ้นสามารถใช้งานได้จริง, ระยองโฟโต้ จำลองร้านถ่ายรูปพร้อมจัดแสดงกล้องฟิล์มสมัยต่างๆ, ครัวบ้านกร่ำ มีอุปกรณ์ทำครัวที่หาดูยากอย่างกระต่ายขูดมะพร้าว โม่หิน เครื่องครัวเก่า ปิ่นโตเถา เป็นต้น

จุดเด่นของที่นี่คือ ของชนิดเดียวกันจะมีให้ชมหลายรุ่นหลายสมัย ผู้ชมจะเห็นถึงวิวัฒนาการของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ และของบางอย่างยังสามารถจับต้องทดลองใช้งานได้จริง จึงเหมาะเป็นสถานที่รำลึกเรื่องราววันวานของคนรุ่นก่อน และเป็นแหล่งถ่ายทอดแบบแผนการดำเนินชีวิตที่แฝงไปด้วยแง่คิดของคนในอดีตสู่สายตาของคนรุ่นต่อๆ ไป

สวนพฤกษศาสตร์ระยอง

สวนพฤกษศาสตร์ระยอง
“สวนพฤกษศาสตร์ระยอง”
บริเวณโดยรอบของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 3,800 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งลดการพังทลายของชายฝั่ง ช่วยป้องกันน้ำเค็มไม่ให้เข้ามาในแผ่นดินจนเกินไป และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชพรรณต่างๆ

สำหรับไฮไลต์สำคัญของที่นี่ก็คือ แพกอหญ้าที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “หญ้าหนังหมา” หรือ “แพหนังหมา” โดยเป็นแพกอหญ้าที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ มีหนาถึง 50-100 ซม. ลอยเป็นผืนแผ่นเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง บนแพกอหญ้าหนังหมานี้เราสามารถขึ้นเดินบนนั้นได้ด้วย

นอกจากกอหญ้าหนังหมาแล้ว ยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ นั่นคือ “ป่าเสม็ดพันปี” ที่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นเสม็ดขาว แต่ก็มีเสม็ดแดงขึ้นอยู่บ้าง โดยต้นเสม็ดที่นี่จะขึ้นอยู่บนพื้นทราย มีสภาพพื้นที่เป็นดินและป่าพรุน้ำท่วมขังมาก-น้อย ตามฤดูกาล ต้นเสม็ดที่นี่มีอยู่เป็นจำนวนมากหลายร้อยต้น ส่วนใหญ่เป็นต้นเสม็ดเก่าแก่ที่ขึ้นมาช้านาน โดยดูได้จากขนาดลำต้นที่ใหญ่และของต้นขึ้นสูงตระหง่าน โดยมันจะแผ่กิ่งก้านสาขาและลำต้นขยายออกไปไกล อีกทั้งยังมีรูปทรงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

อาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเล เกาะมันใน

บ่ออนุบาลเต่า
“เกาะมันใน”
เป็นหนึ่งใน “หมู่เกาะมัน” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 เกาะด้วยกันได้แก่ เกาะมันใน เกาะมันกลาง และเกาะมันนอก

“เกาะมันใน” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะนี้ และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ จ.ระยอง รองจากเกาะเสม็ด และมีความน่าสนใจอยู่ที่เป็นสถานที่ดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเกาะชมได้

บนเกาะมันในนี้เป็นที่ตั้งของ “ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก” ที่เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล โดยจะมี “อาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเล” จัดแสดงให้ความรู้เกี่ยวกับเต่าทะเลให้นักท่องเที่ยวได้รับทราบกัน ใกล้กับตัวอาคารจะเป็น “บ่ออนุบาลเต่า” ที่เป็นบ่อคอนกรีตใช้เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ลูกเต่าตัวน้อย ไล่ไปถึงบ่อของเต่าวัยเจริญพันธุ์ เต่าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ตัวใหญ่หลายขนาด อายุนับสิบปีหลากสายพันธุ์จัดแสดงให้ชมกันอีกด้วย

นอกจากจะได้ความรู้จากเต่าทะเลกันแล้ว ชายหาดของที่เกาะมันในก็สวยงามไม่แพ้กัน แถมยังมีแนวปะการังน้ำตื้นให้สายดำน้ำได้เพลิดเพลินกันอีกด้วย

ปากน้ำประแส

อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส
“ปากน้ำประแส”
แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน "ปากน้ำประแส" นั้นมีหลากหลายด้วยกัน ด้วยความที่เป็นชุมชนปากแม่น้ำชายฝั่งทะเล สภาพพื้นที่แถบนี้จึงเป็นป่าชายเลนที่ชาวบ้านร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ไว้จนอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ป่าชายเลน ทั้งต้นโกงกาง แสม ลำพู ฯลฯ

ที่ปากน้ำประแสบริเวณชายหาดประแส ยังมี “อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส” เป็นความภาคภูมิใจของชาวตำบลปากน้ำประแสที่ได้มีส่วนร่วมในการตั้งอนุสรณ์เรือหลวงประแส ไว้ ณ บริเวณปากน้ำประแส โดยเรือรบหลวงประแสได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีเมื่อปี 2493 ต่อมาเมื่อปลดประจำการจากกองทัพเรือ ทางเทศบาลตำบลปากน้ำประแสจึงขอรับเรือรบหลวงประแสมาตั้งเป็นอนุสรณ์ในปี 2546 เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของท้องถิ่น

ตลาดยามเช้าชุมชนปากน้ำประแส
มีจุดชมวิวที่สำคัญอย่าง “สะพานประแสสิน” ในช่วงยามเย็นจะมีผู้คนแวะเวียนกันมาเดิน-วิ่ง ออกกำลังกายรับลมเย็นๆ บนสะพานที่มีระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร หรือจะมาชมวิวของปากน้ำประแสได้ทั้งสองฝั่งของถนน

หากใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตของคนปากน้ำประแสได้ลึกซึ้งกว่านักท่องเที่ยวคนอื่น ให้ลองมาพักผ่อนที่โฮมสเตย์ของที่นี่ด้วยสัก 1-2 คืน ซึ่งมีโฮมสเตย์ให้เลือกหลากหลาย เพื่อจะได้มีเวลาในการเดินเล่นชมชุมชน เช่น ได้ชมตลาดเช้าในตัวตำบล เห็นวิถีชีวิตและอาหารการกินในพื้นถิ่น อีกทั้งบรรยากาศของบ้านเรือนในตลาดก็ยังมีความคลาสสิคไม่น้อย ยังสามารถเห็นเรือนแถวไม้เก่าแก่สวยๆ หลายหลัง ถูกใจคนชอบบรรยากาศเก่าๆ ยิ่งนัก

#########################################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline




กำลังโหลดความคิดเห็น